วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มาทำให้ไฟล์ Word ของคุณเป็น PDF กันดีกว่า

เห็นถามกันมาหลายครั้ง วันนี้ก็เลยอยากมาบอกวิธีทำซึ่งง่ายมาก ๆ ด้วยโปรแกรม 602Pro PRINT PACK 2002 ดาวส์โหลดโปรแกรมคลิกที่นี่ ซึ่งวิธีทำมีดังต่อไปนี้

1. หลังติดตั้งโปรแกรมเสร็จให้ Restart เครื่องใหม่ แล้วเปิดไฟล์ word ที่ต้องการแปลงขึ้นมา
2. แล้วคลิกที่เมนู แฟ้ม > พิมพ์ ที่ชื่อเครื่องพิมพ์ เลือกเป็น Prit2PDF 95/98/ME (XP ก็ใช้ได้นะครับ) แล้วคลิก ตกลง

.

3. แล้วคลิก OK (ถ้าต้องการเปลี่ยนชื่อไฟล์ก็สามารถเปลี่ยนได้ตามชอบ ที่ File name) ไฟล์ PDF ที่ได้จะอยู่ที่เดียวกับไฟล์ของ Word ครับ เพียงเท่านี้ก็เสร็จแล้วครับ แต่อย่าลืมทำตามรูปที่ 1 ตัวสีแดง ๆ นะครับ

.

ขอบคุณข้อมูลจาก bcoms.net

สับสน Bluetooth กับ Wi-Fi

สับสน Bluetooth กับ Wi-Fi


ถาม: มือถือเครื่องใหม่ของดิฉันบอกว่า มันสามารถเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายได้ด้วยเทคโนโลยี Bluetooth ดิฉันไม่แน่ใจว่า มันเป็นพวกเดียวกับ Wi-Fi ที่ได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ใช่ไหมคะ?

ตอบ: ไม่ใช่ครับ Bluetooth ไม่ใช่ Wi-Fi แต่มันคือเทคโนโลยีไร้สายที่ใช้สัญญาณวิทยุคลื่นสั้น โดยใช้สำหรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ อย่างเช่น โทรศัพท์มือถือเครื่องอื่น ชุดหูฟังไร้สาย คอมพิวเตอร์ และพีดีเอกับโทรศัพท์มือถือของคุณ ซึ่ง Bluetooth บนมือถือจะสามารถเชื่อมต่อไร้สายกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้ดีในระยะไม่เกิน 30 ฟุต สำหรับ Wi-Fi ก็เป็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายเหมือนกัน แต่จะมีรัศมีการใช้งานที่ไกลกว่ามาก และโดยทั่วไปจะใช้สำหรับการเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และการเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตครับ

ทิปจาก www.arip.co.th

BAD Sector คืออะไรล่ะ

BAD Sector ????

สาเหตุอาจเกิดจาก : เกิดจากพื้นผิวของแผ่นจานเก็บข้อมูลของฮาร์ดดิส เกิดความเสียหาย โดยอาจเกิดรอยที่ผิวหรือเกิดจากเศษโลหะหรือฝุ่นขนาดเล็ก เกาะที่ผิวของจานเก็บข้อมูล
การแก้ไข :
1. ทำการ Mark BAD Sector โดยใช้โปรแกรมประเภท Scandisk ทำการ Scan โดยสามารถเรียกใช้โปรแกรมได้จาก Start Menu/Programs/Accessories/System tools/Scandisk และกำหนดค่าของโปรแกรมเป็น Thorough และ Automatically fix errors และกดปุ่ม Start
2. หากไม่มีความจำเป็น ต้องรักษาข้อมูลบนตัวฮาร์ดดิส ควรจะทำการ Full Format ใหม่ โดย Boot เครื่องด้วยแผ่น Startup Disk แล้วใช้คำสั่ง a:/format c:/s เพื่อทำการจัดเตรียมพื้นที่ใหม่โดยโปรแกรมจะทำการตรวจสอบพื้นผิวของแผ่นจานเก็บข้อมูลและเมื่อไม่สามารถอ่านพื้นผิวบริเวณใดก็จะระบุตำแหน่งจุดที่เสียบนพื้นผิวเพื่อที่โปรแกรม Windows จะไม่ไปใช้พื้นที่นั้นในการเก็บข้อมูล เมื่อโปรแกรมทำงานเสร็จสิ้นแล้วจะแสดงตารางแจ้งผลการทำงานหากมี Bad Sector ก็จะแสดงค่าที่เสียไปในตารางด้วย จากนั้นจึงติดตั้งโปรแกรม Windows ใหม่อีกครั้ง
3. ฮาร์ดดิสที่เกิด BAD Sector แล้วโดยส่วนใหญ่จะใช้งานได้อีกไม่นาน และมีโอกาสที่จะเกิดส่วนที่เสียเพิ่มขึ้นได้อีก ดังนั้นจึงควรที่จะสำรองข้อมูลไว้ในสื่ออื่นด้วยเพื่อป้องกันข้อมูลที่จะเสียหายจากการที่ไม่สามารถอ่านฮาร์ดดิสได้อีก

การป้องกันปัญหา :
1. เพิ่มขนาดของหน่วยความจำหนักของเครื่อง(RAM) ให้มากขึ้น เช่น ในWindows 98 ควรมีหน่วยความจำอย่างน้อย 64 Mb เป็นอย่างต่ำหรือหากสามรถที่จะใส่เพิ่มมากกว่านี้ก็จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมให้เครื่อง และเพื่อลดการใช้งานของตัวฮาร์ดดิสลงด้วย เนื่องจากโดยปกติหากเครื่องมีหน่วยความจำน้อยโปรแกรม Windows จะสร้างหน่วยความจำเสมือนขึ้น (Virtual Memory)โดยการแบ่งพื้นที่บนตัวฮาร์ดดิสไว้ส่วนหนึ่งเพื่อใช้งานแทนหน่วยความจำหลัก และทุกครั้งที่มีการใช้งานโปรแกรมที่ต้องการหน่วยความจำมากๆ Windows ก็จะใช้งานหน่วยความจำเสมือนนี้ซึ่งก็จะเป็นการเขียนอ่านฮาร์ดดิสในตำแหน่งเดิมๆอยู่บ่อยครั้งขึ้นโอกาสที่จะเสียหายก็มีมากขึ้นนั่นเอง
2. ต้องทำการ Shout Down เครื่องก่อนปิดเครื่องทุกครั้ง
3. ควรที่จะตั้งโหมดการประหยัดพลังงานโดยการหยุดการทำงานของฮาร์ดดิสเมื่อถึงเวลาที่กำหนดเช่น โดยปกติการใช้งานเครื่องอาจจะมีการเปิดโปรแกรมที่ใช้งานทิ้งไว้และไม่ค่อยได้เรียกใช้โปรแกรมอื่นอีก หรือไม่ได้ใช้ฮาร์ดดิสเป็นเวลาสักระยะเช่น 20 - 30 นาที หากเราตั้งโหมดการทำงานให้เครื่องหยุดการทำงานของฮาร์ดดิสลง ก็จะเป็นการลดการใช้งานฮาร์ดดิส และยืดอายุการใช้งานของฮาร์ดดิสได้ยาวนานขึ้น แต่การทำดังนี้จะมีผลเมื่อต้องการใช้งานฮาร์ดดิสเช่น เรียกโปรแกรมหรือบันทึกข้อมูลลงบนฮาร์ดดิส เครื่องจะต้องใช้เวลาเริ่มหมุนจานเก็บข้อมูลของฮาร์ดดิสสักระยะ(ประมาณ 10-15 วินาที)ทำให้ผู้ใช้อาจรู้สึกว่าเครื่องทำงานช้าหรือผิดปกติได้


ข้อมูลจาก www.nongkhaiweb.com

เรื่องของ Modem

Modem โมเด็มมาจากคำว่า MOdulator/DEModulator โดยแยกการทำงานออกเป็น Modulation คือการแปลงสัญญาณดิจิตอล จากเครื่องคอมพิวเตอร์ ต้นทางให้กลายเป็นสัญญาณอะนาลอกแล้วส่งไปตามสายโทรศัพท์ และ Demodulation คือการเปลี่ยนจากสัญญาณอะนาลอก ที่ได้จากสายโทรศัพท์ให้กลับไปเป็นสัญญาณดิจิตอล เพื่อส่งต่อไปยัง เครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทาง สัญญาณจากคอมพิวเตอร์เป็นสัญญาณ Digital มีแค่ 0 กับ 1 เท่านั้น เมื่อเปลี่ยนมาเป็นสัญญาณอะนาลอกอยู่ในรูปที่คล้ายกับสัญญาณไฟฟ้าของโทรศัพท์ จึงส่งไปทางสายโทรศัพท์ได้ สำหรับปัจจุบันนี้ความไวของโมเด็มจะสูงขึ้นที่ 56 Kbps ตอนแรกมีมาตรฐานออกมา 2 อย่างคือ X2 และ K56Flex ออกมาเพื่อแย่งชิงมาตรฐานกัน ทำให้สับสน ในการใช้งาน ต่อมามาตรฐานสากล ได้กำหนดออกมาเป็น V.90 เป็นการยุติความไม่แน่นอน ของการใช้งาน โมเด็มบางตัวสามารถ อัพเดทเป็น V.90 ได้ แต่บางตัวก็ไม่สามารถทำได้ สำหรับโมเด็มปัจจุบันนี้ยังมีความสามารถในการรับส่ง Fax ด้วย ความไวในการส่ง Fax จะอยู่ที่ 14.4 Kb. เท่านั้น

มาตรฐานโมเด็ม
V. 22 โมเด็มความเร็ว 1,200 bps
V. 22bis โมเด็มความเร็ว 2,400 bps
V. 32 โมเด็มความเร็ว 4,800 และ 9,600 bps
V. 32bis โมเด็มความเร็วตั้งแต่ 4,800 7,200 9,600 และ 14,400 bps
V. 32turbo พัฒนามาจาก V. 32bis อีกทีโดยมีความเร็ว 19,200 bps และสนับสนุนการบีบอัดข้อมูล
V. 34 ความเร็ว 28,800 bps
V. 34bis เป็นมาตรฐานที่นิยมใช้กันอยู่ช่วงหนึ่ง ความเร็ว 33,600 bps ปัจจุบันก็ยังมีใช้อยู่
V. 42 เกี่ยวกับการทำ Error Correction ในโมเด็ม ช่วยให้โมเด็มเชื่อมต่อเสถียรมากยิ่งขึ้น
V. 90 เป็นมาตรฐานที่นิยมใช้กันมากที่สุดในปัจจุบัน ความเร็วอยู่ที่ 56,000 bps
V. 44 พัฒนามาจาก V. 42 และพัฒนาการบีบอัดข้อมูลจาก 4:1 เป็น 6:1
V. 92 เพิ่มคุณสมบัติการทำงานกับชุมสายแบบ Call Waiting หรือสายเรียกซ้อน



สามารถแบ่งการใช้งานออกได้เป็น 3 อย่างคือ

  1. Internal
  2. External
  3. PCMCIA



Internal Modem

Internal Modem เป็นโมเด็มที่มีลักษณะเป็นการ์ดเสียบกับสล็อตของเครื่องอาจจะเป็นแบบ ISA หรือPCI ข้อดีก็คือ ไม่เปลืองเนื้อที่ ราคาไม่แพงมากนัก ใช้ไฟเลี้ยงจาก Mainboard ข้อเสียคือ ติดตั้งยากกว่าแบบภายนอก เนื่องจากติดตั้งภายในเครื่องทำให้ใช้ไฟในเครื่องอันส่งผลให้เพิ่มความร้อน ในเครื่อง เคลื่อนย้ายได้ไมสะดวกยาก ใช้ได้เฉพาะเครื่องคอมแบบ PC เท่านั้นไม่สามารถใช้งานกับ NoteBook ได้



External Modem

External Modem เป็นโมเด็มที่ติดตั้งภายนอกโดยจะต่อกับ Serial Port โดยใช้หัวต่อที่เป็น DB-25 หรือ DB-9 ต่อกับ Com1, Com2 หรือ USB ข้อดีคือ สามารถเคลื่อนย้ายไปใช้กับเครื่องอื่นได้ ติดตั้งได้ง่าย ไม่เพิ่มความร้อนให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เนื่องจากติดตั้งอยู่ภายนอกและใช้แหล่งจ่ายไฟภายนอก สามารถใช้ งานกับเครื่อง NoteBook ได้เนื่องจากต่อกับ Serial Port หรือ Parallel Port มีไฟแสดง สภาวะการทำงานของโมเด็ม ข้อเสีย มีราคาค่อนข้างสูง เกิดปัญหาจากสายต่อได้ง่าย ในการเลือกใช้จึงต้องดูหลายประการเช่น ความสะดวกในการใช้งาน คอมพิวเตอร์ เป็นรุ่นเก่า ก็ควรใช้แบบ internal และหากมีแต่ Slot ISA ก็ต้องเลือกแบบ ISA Internal หากต้องการเคลื่อนย้ายไปใช้กับ เครื่องอื่นอยู่เรื่อยก็ต้องใช้แบบภายนอก หากให้สะดวกก็ควรเป็น แบบ Internal ครับจะได้ความไวที่ โดยมากจะสูงกว่าแบบภายนอก มีปัจจัยหลายอย่างในการเลือกต้องดูด้วยว่า ISP (Internet Service Provider) ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ที่คุณใช้นั้นรองรับ มาตรฐาน V.90 ข้อเสียของโมเด็มรุ่นใหม่ ๆ ที่มีราคาถูกที่เป็น Internal PCI คือผู้ผลิดเขาจะตัดชิพที่ ทำหน้าที่ ตรวจสอบความผิดพลาด แก้ไขสัญญาณรบกวน (Error Correction) ที่มีมาก ในสายโทรศัพท์ในบางที่ แล้วไปใช้ความสามารถของซีพียูมาทำหน้าที่นี้แทน ทำให้เกิดการใช้ งานซีพียูเพิ่มมากขึ้นทำให้ความเร็วของ เครื่องลดลง หรือสัญญาณโทรศัพท์อาจตัดหรือ เรียกว่าสายหลุดได้ สำหรับคุณสมบัติ ที่ควรมีของโมเด็มคือ DSVD ที่ทำให้โมเด็มสามารถส่งผ่าน ข้อมูล Voice และ Data ได้ในขณะเดียวกันได้โดยความ เร็วไม่ลดลง และดูสิ่งที่ให้มาด้วยเช่น ซอฟท์แวร์ต่าง ๆ รวมทั้งดูว่าสามารถใช้อ่านอื่น ๆ ได้เช่น Fax, Voice, Mail และ Call ID เป็นต้น



PCMCIA

เป็นCard ที่ใช้งานเฉพาะ โดยใช้กับ Notebook เป็น Card เสียบเข้าไปในช่องสำหรับเสียบ Card โดยเฉพาะสะดวกในการพกพา ในปัจจุบัน Modem สำหรับ Notebook จะติดมาพร้อมกันอยู่แล้วทำให้ความนิยมในการใช้ Card Modem ชนิดนี้ลดน้อยลง

    ปัจจัยที่สำคัญที่มีผลต่อการใช้โมเด็มในการเชื่อมโยงอินเทอร์เน็ต มีดังนี้
  1. คุณภาพของสายทองแดง ระยะทางยาว การต่อสาย หรือหัวต่อต่าง ๆ ทำให้มีปัญหาต่อสัญญาณรบกวน
  2. ไม่ควรใช้สายพ่วง เพราะการพ่วงสายจะทำให้อิมพีแดนซ์ของสายลดต่ำลง และจะมีปัญหาได้ขณะใช้งานถ้ามีคนยกหูโทรศัพท์เครื่องพ่วงสายจะหลุดทันที
  3. ต้องไม่เปิดบริการเสริมใด ๆ สำหรับสายที่ใช้โมเด็ม เช่น เปิดให้มีสายเรียกซ้อน การรับสัญญาณอื่นขณะใช้โมเด็มจะทำให้การเชื่อมโยงหยุดทันที
  4. หากชุมสายที่บ้านเชื่อมอยู่ต้องผ่านหลายชุมสาย หรือต้องผ่านระหว่างเครือข่ายของบริษัทบริการโทรศัพท์
  5. คุณภาพของโมเด็มที่ใช้ ปัจจุบันมีโมเด็มที่ผลิตหลากหลาย และมีคุณภาพแตกต่างกัน การแปลงสัญญาณอาจมีข้อแตกต่าง
ข้อมูลจาก www.dcomputer.com

RAM คืออะไร

แรม (RAM) RAM ย่อมาจากคำว่า Random-Access Memory เป็นหน่วยความจำของระบบ มีหน้าที่รับข้อมูลเพื่อส่งไปให้ CPU ประมวลผลจะต้องมีไฟเข้า Module ของ RAM ตลอดเวลา ซึ่งจะเป็น chip ที่เป็น IC ตัวเล็กๆ ถูก pack อยู่บนแผงวงจร หรือ Circuit Board เป็น module

เทคโนโลยีของหน่วยความจำมีหลักการที่แตกแยกกันอย่างชัดเจน 2 เทคโนโลยี คือหน่วยความจำแบบ DDR หรือ Double Data Rate (DDR-SDRAM, DDR-SGRAM) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องมาจากเทคโนโลยีของหน่วยความจำแบบ SDRAM และ SGRAM และอีกหนึ่งคือหน่วยความจำแบบ Rambus ซึ่งเป็นหน่วยความจำที่มีแนวคิดบางส่วนต่างออกไปจากแบบอื่น


SDRAM


รูปแสดง SDRAM

อาจจะกล่าวได้ว่า SDRAM (Synchronous Dynamic Random Access Memory) นั้นเป็น Memory ที่เป็นเทคโนโลยีเก่าไปเสียแล้วสำหรับยุคปัจจุบัน เพราะเป็นการทำงานในช่วง Clock ขาขึ้นเท่านั้น นั้นก็คือ ใน1 รอบสัญญาณนาฬิกา จะทำงาน 1 ครั้ง ใช้ Module แบบ SIMM หรือ Single In-line Memory Module โดยที่ Module ชนิดนี้ จะรองรับ datapath 32 bit โดยทั้งสองด้านของ circuite board จะให้สัญญาณเดียวกัน

DDR - RAM



รูปแสดง DDR - SDRAM


หน่วยความจำแบบ DDR-SDRAM นี้พัฒนามาจากหน่วยความจำแบบ SDRAM เอเอ็มดีได้ทำการพัฒนาชิปเซตเองและให้บริษัทผู้ผลิตชิปเซตรายใหญ่อย่าง VIA, SiS และ ALi เป็นผู้พัฒนาชิปเซตให้ ปัจจุบันซีพียูของเอเอ็มดีนั้นมีประสิทธิภาพโดยรวมสูงแต่ยังคงมีปัญหาเรื่องความเสถียรอยู่บ้าง แต่ต่อมาเอเอ็มดีหันมาสนใจกับชิปเซตสำหรับซีพียูมากขึ้น ขณะที่ทางเอเอ็มดีพัฒนาชิปเซตเลือกให้ชิปเซต AMD 760 สนับสนุนการทำงานร่วมกับหน่วยความจำแบบ DDR เพราะหน่วยความจำแบบ DDR นี้ จัดเป็นเทคโนโลยีเปิดที่เกิดจากการร่วมมือกันพัฒนาของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเอเอ็มดี, ไมครอน, ซัมซุง, VIA, Infineon, ATi, NVIDIA รวมถึงบริษัทผู้ผลิตรายย่อยๆ อีกหลายDDR-SDRAM เป็นหน่วยความจำที่มีบทบาทสำคัญบนการ์ดแสดงผล 3 มิติ

ทางบริษัท nVidia ได้ผลิต GeForce ใช้คู่กับหน่วยความจำแบบ SDRAM แต่เกิดปัญหาคอขวดของหน่วยความจำในการส่งถ่ายข้อมูลทำให้ทาง nVidia หาเทคโนโลยีของหน่วยความจำใหม่มาทดแทนหน่วยความจำแบบ SDRAM โดยเปลี่ยนเป็นหน่วยความจำแบบ DDR-SDRAM การเปิดตัวของ GeForce ทำให้ได้พบกับ GPU ตัวแรกแล้ว และทำให้ได้รู้จักกับหน่วยความจำแบบ DDR-SDRAM เป็นครั้งแรกด้วย การที่ DDR-SDRAM สามารถเข้ามาแก้ปัญหาคอคอดของหน่วยความจำบนการ์ดแสดงผลได้ ส่งผลให้ DDR-SDRAM กลายมาเป็นมาตรฐานของหน่วยความจำที่ใช้กันบนการ์ด 3 มิติ ใช้ Module DIMM หรือ Dual In-line Memory Module โดย Module นี้เพิ่งจะกำเนิดมาไม่นานนัก มี datapath ถึง 64 bit โดยทั้งสองด้านของ circuite board จะให้สัญญาณที่ต่างกัน

Rambus


รูปแสดง Rambus


Rambus นั้นทางอินเทลเป็นผู้ที่ให้การสนับสนุนหลักมาตั้งแต่แรกแล้ว Rambus ยังมีพันธมิตรอีกเช่น คอมแพค, เอชพี, เนชันแนล เซมิคอนดักเตอร์, เอเซอร์ แลบอเรทอรีส์ ปัจจุบัน Rambus ถูกเรียกว่า RDRAM หรือ Rambus DRAM ซึ่งออกมาทั้งหมด 3 รุ่นคือ Base RDRAM, Concurrent RDRAM และ Direct RDRAM RDRAM แตกต่างไปจาก SDRAM เรื่องการออกแบบอินเทอร์-เฟซของหน่วยความจำ Rambus ใช้วิธีการจัด address การจัดเก็บและรับข้อมูลในแบบเดิม ในส่วนการปรับปรุงโอนย้ายถ่ายข้อมูล ระหว่าง RDRAM ไปยังชิปเซตให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น มีอัตราการส่งข้อมูลเป็น 4 เท่าของความเร็ว FSB ของตัว RAM คือ มี 4 ทิศทางในการรับส่งข้อมูล เช่น RAM มีความเร็ว BUS = 100 MHz คูณกับ 4 pipline จะเท่ากับ 400 MHz

วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการขนถ่ายข้อมูลของ RDRAM นั้นก็คือ จะใช้อินเทอร์เฟซเล็ก ๆ ที่เรียกว่า Rambus Interface ซึ่งจะมีอยู่ที่ปลายทางทั้ง 2 ด้าน คือทั้งในตัวชิป RDRAM เอง และในตัวควบคุมหน่วยความจำ (Memory controller อยู่ในชิปเซต) เป็นตัวช่วยเพิ่มแบนด์วิดธ์ให้ โดย Rambus Interface นี้จะทำให้ RDRAM สามารถขนถ่ายข้อมูลได้สูงถึง 400 MHz DDR หรือ 800 เมกะเฮิรตซ์ เลยทีเดียว

แต่การที่มีความสามารถในการขนถ่ายข้อมูลสูง ก็เป็นผลร้ายเหมือนกัน เพราะทำให้มีความจำเป็นต้องมี Data path หรือทางผ่านข้อมูลมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อรองรับปริมาณการขนถ่ายข้อมูลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้ขนาดของ die บนตัวหน่วยความจำต้องกว้างขึ้น และก็ทำให้ต้นทุนของหน่วยความจำแบบ Rambus นี้ สูงขึ้นและแม้ว่า RDRAM จะมีการทำงานที่ 800 เมกะเฮิรตซ์ แต่เนื่องจากโครงสร้างของมันจะเป็นแบบ 16 บิต (2 ไบต์) ทำให้แบนด์วิดธ์ของหน่วยความจำชนิดนี้ มีค่าสูงสุดอยู่ที่ 1.6 กิกะไบต์ต่อวินาทีเท่านั้น (2 x 800 = 1600) ซึ่งก็เทียบเท่ากับ PC1600 ของหน่วยความจำแบบ DDR-SDRAM

สัญญาณนาฬิกา

DDR-SDRAM จะมีพื้นฐานเหมือนกับ SDRAM ทั่วไปมีความถี่ของสัญญาณนาฬิกาเท่าเดิม (100 และ 133 เมกะเฮิรตซ์) เพียงแต่ว่า หน่วยความจำแบบ DDR นั้น จะสามารถขนถ่ายข้อมูลได้มากกว่าเดิมเป็น 2 เท่า เนื่องจากมันสามารถขนถ่ายข้อมูลได้ทั้งในขาขึ้นและขาลงของหนึ่งรอบสัญญาณนาฬิกา ในขณะที่หน่วยความจำแบบ SDRAM สามารถขนถ่ายข้อมูลได้เพียงขาขึ้นของรอบสัญญาณนาฬิกาเท่านั้น
ด้วยแนวคิดง่าย ๆ แต่สามารถเพิ่มแบนด์วิดธ์ได้เป็นสองเท่า และอาจจะได้พบกับหน่วยความจำแบบ DDR II ซึ่งก็จะเพิ่มแบนด์วิดธ์ขึ้นไปอีก 2 เท่า จากหน่วยความจำแบบ DDR (หรือเพิ่มแบนด์วิดธ์ไปอีก 4 เท่า เมื่อเทียบกับหน่วยความจำแบบ SDRAM) ซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูง เพราะจะว่าไปแล้วก็คล้ายกับกรณีของ AGP ซึ่งพัฒนามาเป็น AGP 2X 4X และ AGP 8X

หน่วยความจำแบบ DDR จะใช้ไฟเพียง 2.5 โวลต์ แทนที่จะเป็น 3.3 โวลต์เหมือนกับ SDRAM ทำให้เหมาะที่จะใช้กับโน้ตบุ๊ก และด้วยการที่พัฒนามาจากพื้นฐานเดียว DDR-SDRAM จะมีความแตกต่างจาก SDRAM อย่างเห็นได้ชัดอยู่หลายจุด เริ่มตั้งแต่มีขาทั้งหมด 184 pin ในขณะที่ SDRAM จะมี 168 pin อีกทั้ง DDR-SDRAM ยังมีรูระหว่าง pin เพียงรูเดียว ในขณะที่ SDRAM จะมี 2 รู ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่า DDR-SDRAM นั้น ไม่สามารถใส่ใน DIMM ของ SDRAM ได้ หรือต้องมี DIMM เฉพาะใช้ร่วมกันไม่ได้

การเรียกชื่อ RAM

Rambus ซึ่งใช้เรียกชื่อรุ่นหน่วยความจำของตัวเองว่า PC600, PC700 และ ทำให้ DDR-SDRAM เปลี่ยนวิธีการเรียกชื่อหน่วยความจำไปเช่นกัน คือแทนที่จะเรียกตามความถี่ของหน่วยความจำว่าเป็น PC200 (PC100 DDR) หรือ PC266 (PC133 DDR) กลับเปลี่ยนเป็น PC1600 และ PC2100 ซึ่งชื่อนี้ก็มีที่มาจากอัตราการขนถ่ายข้อมูลสูงสุดที่หน่วยความจำรุ่นนั้นสามารถทำได้ ถ้าจะเปรียบเทียบกับหน่วยความจำแบบ SDRAM แล้ว PC1600 ก็คือ PC100 MHz DDR และ PC2100 ก็คือ PC133 MHz DDR เพราะหน่วยความจำที่มีบัส 64 บิต หรือ 8 ไบต์ และมีอัตราการขนถ่ายข้อมูล 1600 เมกะไบต์ต่อวินาที ก็จะต้องมีความถี่อยู่ที่ 200 เมกะเฮิรตซ์ (8 x 200 = 1600) หรือถ้ามีแบนด์วิดธ์ที่ 2100 เมกะไบต์ต่อวินาที ก็ต้องมีความถี่อยู่ที่ 266 เมกะเฮิรตซ์ (8 x 266 = 2100)

อนาคตของ RAM

บริษัทผู้ผลิตชิปเซตส่วนใหญ่เริ่มหันมาให้ความสนใจกับหน่วยความจำแบบ DDR กันมากขึ้น อย่างเช่น VIA ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปเซตรายใหญ่ของโลกจากไต้หวัน ก็เริ่มผลิตชิปเซตอย่าง VIA Apollo KT266 และ VIA Apollo KT133a ซึ่งเป็นชิปเซตสำหรับซีพียูในตระกูลแอธลอน และดูรอน (Socket A) รวมถึงกำหนดให้ VIA Apolle Pro 266 ซึ่งเป็นชิปเซตสำหรับเซลเลอรอน และเพนเทียม (Slot1, Socket 370) หันมาสนับสนุนการทำงานร่วมกับหน่วยความจำแบบ DDR-SDRAM แทนที่จะเป็น RDRAM


แนวโน้มที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดของทั้ง DDR II กับ RDRAM เวอร์ชันต่อไป เทคโนโลยี quard pump คือการอัดรอบเพิ่มเข้าไปเป็น 4 เท่า เหมือนกับในกรณีของ AGP ซึ่งนั่นจะทำให้ DDR II และ RDRAM เวอร์ชันต่อไป มีแบนด์-วิดธ์ที่สูงขึ้นกว่างปัจจุบันอีก 2 เท่า ในส่วนของ RDRAM นั้น การเพิ่มจำนวนสล็อตในหนึ่ง channel ก็น่าจะเป็นหนทางการพัฒนาที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งนั่นก็จะเป็นการเพิ่มแบนด์วิดธ์ของหน่วยความจำขึ้นอีกเป็นเท่าตัวเช่นกัน และทั้งหมดที่ว่ามานั้น คงจะพอรับประกันได้ว่า การต่อสู้ระหว่าง DDR และ Rambus คงยังไม่จบลงง่าย ๆ และหน่วยความจำแบบ DDR ยังไม่ได้เป็นผู้ชนะอย่างเด็ดขาด


ข้อมูลจาก www.dcomputer.com

ประเภทของคอมพิวเตอร์ แบ่งตามความสามารถของระบบ

จำแนกออกได้เป็น 4 ชนิด โดยพิจารณาจาก ความสามารถในการเก็บข้อมูล และ ความเร็วในการประมวลผล เป็นหลัก ดังนี้

ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (Super Computer)

หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่มีความสามารถในการประมวลผลสูงที่สุด โดยทั่วไปสร้างขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่องานด้านวิทยาศาสตร์ที่ต้องการการประมวลผลซับซ้อน และต้องการความเร็วสูง เช่น งานวิจัยขีปนาวุธ งานโครงการอวกาศสหรัฐ (NASA) งานสื่อสารดาวเทียม หรืองานพยากรณ์อากาศ เป็นต้น

เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer)

หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่มีส่วนความจำและความเร็วน้อยลง สามารถใช้ข้อมูลและคำสั่งของเครื่องรุ่นอื่นในตระกูล (Family) เดียวกันได้ โดยไม่ต้องดัดแปลงแก้ไขใดๆ นอกจากนั้นยังสามารถทำงานในระบบเครือข่าย (Network) ได้เป็นอย่างดี โดยสามารถเชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ที่เรียกว่า เครื่องปลายทาง (Terminal) จำนวนมากได้ สามารถทำงานได้พร้อมกันหลายงาน (Multi Tasking) และใช้งานได้พร้อมกันหลายคน (Multi User) ปกติเครื่องชนิดนี้นิยมใช้ในธุรกิจขนาดใหญ่ มีราคาตั้งแต่สิบล้านบาทไปจนถึงหลายร้อยล้านบาท ตัวอย่างของเครื่องเมนเฟรมที่ใช้กันแพร่หลายก็คือ คอมพิวเตอร์ของธนาคารที่เชื่อมต่อไปยังตู้ ATM และสาขาของธนาคารทั่วประเทศนั่นเอง

มินิคอมพิวเตอร์ (Mini Computer)

ธุรกิจและหน่วยงานที่มีขนาดเล็กไม่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ขนาดเมนเฟรมซึ่งมีราคาแพง ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์จึงพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้มีขนาดเล็กและมีราคาถูกลง เรียกว่า เครื่องมินิคอมพิวเตอร์ โดยมีลักษณะพิเศษในการทำงานร่วมกับอุปกรณ์ประกอบรอบข้างที่มีความเร็วสูงได้ มีการใช้แผ่นจานแม่เหล็กความจุสูงชนิดแข็ง (Harddisk) ในการเก็บรักษาข้อมูล สามารถอ่านเขียนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว หน่วยงานและบริษัทที่ใช้คอมพิวเตอร์ขนาดนี้ ได้แก่ กรม กอง มหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงพยาบาล และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ

ไมโครคอมพิวเตอร์ (Micro Computer)

หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลขนาดเล็ก มีส่วนของหน่วยความจำและความเร็วในการประมวลผลน้อยที่สุด สามารถใช้งานได้ด้วยคนเดียว จึงมักถูกเรียกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer : PC)

ปัจจุบัน ไมโครคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพสูงกว่าในสมัยก่อนมาก อาจเท่ากับหรือมากกว่าเครื่องเมนเฟรมในยุคก่อน นอกจากนั้นยังราคาถูกลงมาก ดังนั้นจึงเป็นที่นิยมใช้มาก ทั้งตามหน่วยงานและบริษัทห้างร้าน ตลอดจนตามโรงเรียน สถานศึกษา และบ้านเรือน บริษัทที่ผลิตไมโครคอมพิวเตอร์ออกจำหน่ายจนประสบความสำเร็จเป็นบริษัทแรก คือ บริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์

เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ จำแนกออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

  1. แบบติดตั้งใช้งานอยู่กับที่บนโต๊ะทำงาน (Desktop Computer)
  2. แบบเคลื่อนย้ายได้ (Portable Computer) สามารถพกพาติดตัว อาศัยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่จากภายนอก ส่วนใหญ่มักเรียกตามลักษณะของการใช้งานว่า Laptop Computer หรือ Notebook Computer
Credit --> http://www.thaiwbi.com

ประเภทของคอมพิวเตอร์ แบ่งตามวัตถุประสงค์การใช้งาน

จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ

เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่องานเฉพาะกิจ (Special Purpose Computer)

หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่ถูกออกแบบตัวเครื่องและโปรแกรมควบคุม ให้ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการเฉพาะ (Inflexible) โดยทั่วไปมักใช้ในงานควบคุม หรืองานอุตสาหกรรมที่เน้นการประมวลผลแบบรวดเร็ว เช่นเครื่องคอมพิวเตอร์ควบคุมสัญญาณไฟจราจร คอมพิวเตอร์ควบคุมลิฟท์ หรือคอมพิวเตอร์ควบคุมระบบอัตโนมัติในรถยนต์ เป็นต้น

เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่องานอเนกประสงค์ (General Purpose Computer)

หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่มีความยืดหยุ่นในการทำงาน (Flexible) โดยได้รับการออกแบบให้สามารถประยุกต์ใช้ในงานประเภทต่างๆ ได้โดยสะดวก โดยระบบจะทำงานตามคำสั่งในโปรแกรมที่เขียนขึ้นมา และเมื่อผู้ใช้ต้องการให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานอะไร ก็เพียงแต่ออกคำสั่งเรียกโปรแกรมที่เหมาะสมเข้ามาใช้งาน โดยเราสามารถเก็บโปรแกรมไว้หลายโปรแกรมในเครื่องเดียวกันได้ เช่น ในขณะหนึ่งเราอาจใช้เครื่องนี้ในงานประมวลผลเกี่ยวกับระบบบัญชี และในขณะหนึ่งก็สามารถใช้ในการออกเช็คเงินเดือนได้ เป็นต้น

ประเภทของคอมพิวเตอร์ แบ่งตามหลักการประมวลผล

จำแนกได้เป็น 3 ประเภท คือ

คอมพิวเตอร์แบบแอนะล็อก (Analog Computer)

หมายถึง เครื่องมือประมวลผลข้อมูลที่อาศัยหลักการวัด (Measuring Principle) ทำงานโดยใช้ข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบต่อเนื่อง (Continuous Data) แสดงออกมาในลักษณะสัญญาณที่เรียกว่า Analog Signal เครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทนี้มักแสดงผลด้วยสเกลหน้าปัทม์ และเข็มชี้ เช่น การวัดค่าความยาว โดยเปรียบเทียบกับสเกลบนไม้บรรทัด การวัดค่าความร้อนจากการขยายตัวของปรอทเปรียบเทียบกับสเกลข้างหลอดแก้ว

นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างของ Analog Computer ที่ใช้การประมวลผลแบบเป็นขั้นตอน เช่น เครื่องวัดปริมาณการใช้น้ำด้วยมาตรวัดน้ำ ที่เปลี่ยนการไหลของน้ำให้เป็นตัวเลขแสดงปริมาณ อุปกรณ์วัดความเร็วของรถยนต์ในลักษณะเข็มชี้ หรือเครื่องตรวจคลื่ยสมองที่แสดงผลเป็นรูปกราฟ เป็นต้น

คอมพิวเตอร์แบบดิจิทัล (Digital Computer)

ซึ่งก็คือคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการทำงานทั่วๆ ไปนั่นเอง เป็นเครื่องมือประมวลผลข้อมูลที่อาศัยหลักการนับ ทำงานกับข้อมูลที่มีลักษณะการเปลี่ยนแปลงแบบไม่ต่อเนื่อง (Discrete Data) ในลักษณะของสัญญาณไฟฟ้า หรือ Digital Signal อาศัยการนับสัญญาณข้อมูลที่เป็นจังหวะด้วยตัวนับ (Counter) ภายใต้ระบบฐานเวลา (Clock Time) มาตรฐาน ทำให้ผลลัพธ์เป็นที่น่าเชื่อถือ ทั้งสามารถนับข้อมูลให้ค่าความละเอียดสูง เช่นแสดงผลลัพธ์เป็นทศนิยมได้หลายตำแหน่ง เป็นต้น

เนื่องจาก Digital Computer ต้องอาศัยข้อมูลที่เป็นสัญญาณไฟฟ้า (มนุษย์สัมผัสไม่ได้) ทำให้ไม่สามารถรับข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต้นทางได้โดยตรง จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนข้อมูลต้นทางที่รับเข้า (Analog Signal) เป็นสัญญาณไฟฟ้า (Digital Signal) เสียก่อน เมื่อประมวลผลเรียบร้อยแล้วจึงเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้ากลับไปเป็น Analog Signal เพื่อสื่อความหมายกับมนุษย์ต่อไป

โดยส่วนประกอบสำคัญที่เรียกว่า ตัวเปลี่ยนสัญญาณข้อมูล (Converter) คอยทำหน้าที่ในการเปลี่ยนรูปแบบของสัญญาณข้อมูล ระหว่าง Digital Signal กับ Analog Signal

คอมพิวเตอร์แบบลูกผสม (Hybrid Computer)

เครื่องประมวลผลข้อมูลที่อาศัยเทคนิคการทำงานแบบผสมผสาน ระหว่าง Analog Computer และ Digital Computer โดยทั่วไปมักใช้ในงานเฉพาะกิจ โดยเฉพาะงานด้านวิทยาศาสตร์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ในยานอวกาศ ที่ใช้ Analog Computer ควบคุมการหมุนของตัวยาน และใช้ Digital Computer ในการคำนวณระยะทาง เป็นต้น

การทำงานแบบผสมผสานของคอมพิวเตอร์ชนิดนี้ ยังคงจำเป็นต้องอาศัยตัวเปลี่ยนสัญญาณ (Converter) เช่นเดิม

พื้นฐานการใช้งาน Facebook

เริ่มต้นการใช้งาน Facebook


แน่นอนครับ สิ่งแรกที่เราจำเป็นก่อนใช้งาน Facebook นั้นคือ การ Login เข้า Facebook ในหน้าแรกของเว็บไซต์ www.facebook.com และทุกครั้งก่อนเลิกใช้งาน ก็อย่าลืม Logout เพื่อออกจากระบบด้วยน่ะครับ เพราะไม่อยากนั้น คนอื่น อาจแอบมาใช้งาน Facebook ของเราได้

เรื่องน่ารู้พื้นฐานที่ควรทราบในการใช้งาน Facebook

  1. กรณีใช้งานในร้านอินเตอร์เน็ต หรือสถานที่ใดๆ ที่ไม่ใช่ที่บ้านของเรา ในช่องของการ Login จะมี ช่องสี่เหลี่ยมแสดงข้อความ "keep me logged in" ซึ่งจะใช้สำหรับการจำค่าของ Login ของคุณ คุณไม่ควรเลือกหัวข้อนี้
  2. ทุกครั้งหลังเลิกใช้งาน จะต้องทำการ Logout ทุกครั้ง (อยู่ด้านบนของหน้าต่าง Facebook)
  3. กรณี ลืมรหัสผ่าน หรือ Password สามารถให้ระบบส่งรหัสผ่านทางอีเมลของเราได้ โดยการคลิก "Forgot your password?" พิมพ์ข้อความ ตัวอักษรที่แสดงบนหน้าจอ จากนั้นพิมพ์ชื่ออีเมล ที่เราสมัครสมาชิกไว้ และกดปุ่ม Reset Password (Facebook จะทำการส่งรหัสผ่านให้ทางอีเมล)



  1. Forgot Password Facebook



    แค่นี้เราก็สามารถกลับมาใช้งาน Facebook ได้ดังเดิมแล้ว
  2. การเปลี่ยนภาษา เนื่องจาก Facebook รองรับการใช้งานภาษาต่างๆ ได้มากมาย รวมทั้งภาษาไทยด้วย ถ้าเราต้องการใช้งานภาษาไทย หรือภาษาอื่นๆ เราสามารถคลิกหัวข้อภาษา ที่ด้านล่างของหน้าhome page ของ เว็บไซต์ Facebook ได้ทันที
credit --> it-guides.com

สำหรับทุกคนที่ใช้งาน Windows ทุกเวอร์ชั่น

สำหรับทุกคนที่ใช้งาน Windows ทุกเวอร์ชั่น


คุณรู้จักคำสั่ง Windows Startup หรือเปล่า "Startup" เหมือนกับโฟลเดอร์ธรรมดา แต่มีไว้สำหรับสั่งให้โปรแกรมทำงานทันทีเมื่อมีการเปิดเข้า Windows ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเอา shortcut ของ โปรแกรม Microsoft Word ไปใส่ในโฟลเดอร์ Startup นี้ เวลาเปิด Windows ขึ้น โปรแกรม Microsoft Word จะเปิดให้ทันที


วิธีการเข้าถึง Windows Startup

  1. คลิกปุ่ม Start
  2. คลิกคำสั่ง All Programs
  3. จะเห็น โฟลเดอร์ Startup ปรากฏอยู่
  4. ลองคลิกเข้าไปดู บางเครื่องอาจมีบางโปรแกรมแสดงอยู่ บางเครื่องอาจไม่มีอะไรเลย

คราวนี้ แค่คุณนำ shortcut ของโปรแกรมใดๆ ก็ตาม มาใส่ไว้ในโฟลเดอร์นี้ เวลาเปิด Windows ครั้งใด โปรแกรมนั้นๆ จะเปิดให้อัตโนมัติทันที ตัวอย่างโปรแกรมที่แนะนำให้ใส่ไว้ใน Startup เช่น โปรแกรมสำหรับเช็คเมล Microsoft Outlook หรือ Outlook Express เป็นต้น


อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้เปิดโปรแกรมพร้อมกันหลายตัว ในคราวเดียวกัน เพราะอย่างน้อย จะทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงอย่างเห็นได้ชัด


จาก it-guides.com

F1 คำสั่งดีๆ ที่ถูกมองข้าม

คุณลืมคำสั่ง F1 ไปแล้วหรือยัง


คำสั่ง F1 เป็นคำสั่งที่ใช้เรียก "Helps and Support Center" ของโปรแกรม Windows เอง คำสั่งนี้เป็นคำสั่งที่ดีมากๆ เพราะ เป็นตัวช่วยในการเรียนรู้การใช้งาน Windows รวมทั้งช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดกับ Windows ได้ด้วย แต่ปัจจุบัน หลายๆ คนกลับไปใช้ Search Engine อย่าง Google แทน

Help and Support Windows XP



การเรียนใช้งาน F1

  1. ให้ minimize หน้าจอของทุกโปรแกรมลง
  2. จากนั้นกดปุ่ม F1 ที่คีย์บอร์ด
  3. จะได้หน้าต่าง Helps and Support Center (ทดสอบจาก Windows XP)
  4. ในช่อง Search ให้เราพิมพ์คำที่เราต้องการค้นหา
  5. หรือคลิกหัวข้อต่างๆ ที่เราสนใจ

แล้วคุณทราบหรือไม่ว่า โปรแกรมอื่นๆ ทีคุณใช้งานอยู่ในปัจจุบันก็มี Help เหมือนกัน ถ้าอยากรู้ว่าโปรแกรมที่คุณใช้งานอยู่นั้น มีคำสั่ง Help หรือไม่ ก็ลองกดปุ่ม F1 ดู ขณะที่ใช้งานโปรแกรมนั้นๆ รับรองคุณจะถูกใจ

คาถาวิเศษ สั่ง Nero ไรด์เเผ่นให้ได้ 830 เมก เต็มๆๆ

+++ คาถาวิเศษ สั่ง Nero ไรด์เเผ่นให้ได้ 830 เมก เต็มๆๆๆ +++ :a4:

ง่ายมากครับ ลองดูได้ครับ

ปล. แผ่น CD-R 700MB/80Min หมายถึงแผ่น cdr ที่ไรท์ข้อมูลลงไป(โดยเครื่องไรท์ทั่วๆไปที่ผลิตอยู่ในมาตราฐานหรือเรียก ว่าเครื่องที่มีคุณภาพดี) โดยที่ข้มูลไม่เกิน 700MB โอกาสทีจะเกิดแผ่นเสีย จะน้อยกว่า 1%
หากเราพยายามที่จะไรท์ ข้อมูลให้ได้มากกว่า 700 %ที่จะเกิดข้อผิดพลาด(แผ่นเสีย)จะสูงมากขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ คุณภาพของแผ่น(ยี่ห้อ), สภาพผิวของแผ่น ,สภาพของหัวlaser ,สภาพของ len , มาตราฐานเครื่องไรท์ ฯลฯ รวมถึงประสิทธิภาพของ โปรแกรมที่ใช้ไรท์
ที่เรา กำลังทำอยู่นี่ คือการพยายาม ทำอะไรที่ทะลุขีดจำกัดมาตราฐาน โอกาสเกิดข้อผิดพลาดย่อมมีมากกว่าปกติ(ของผมไรท์ปกติไม่เกิน 700 ใช้แผ่น princo ขาว cdrom ของ asus ใน 100 แผ่น ยังมีเสีย 2-3แผ่น)

สิ่งที่นำเสนอนี้ไม่ใช่มาตราฐานใหม่ เพียงแต่เป็นแนวทางให้เลือกหากมีความจำเป็นที่จะต้องทำ
ดังนั้นหากจะทำการแหกมาตราฐาน แนะนำว่าให้ใช แผ่น cdr ที่มียี่ห้อหน่อย เลือกไดรว์ cdrom ที่มีคุณภาพ โอกาสแผ่นเสียจะลดลงครับ

+++ วิธีทำ +++ :e3:

1.เปิด โปรแกรม Nero Express
2.คลิก More เลือก Configure
3.General => status bar : yellow marker ใส่เป็น 80 : red marker ใส่เป็น 99
4. กด Apply => OK.
5. Expert Features => เลือกเครื่องหมายถูก หน้า Enable overburn Disk- at- once
6. ตรง Maximum CD size : ใส่ 99 (min)
7. กด Apply => OK.
8. เลือก File ที่ต้องการ Burn => finished => next
9. กด More ตรง Write Method เลือก Disk-at-once
10. Burn
11. จะมี ข้อความขึ้นมาหน้าจอ ถามว่า Over Burn Writing
Prevention better than cure
เลือก Write Overburn Disc
12. รอ จนมีข้อความ completed successfully

ข้อเปรียบเทียบ ATI กับ NVIDAI

ข้อเปรียบเทียบ ATI กับ NVIDAI

ดีคนล่ะอย่างน่ะ วัดกันไม่ได้ใครแรงกว่า เอาว่าคุณชอบทางไหน
Ati
1. ราคาถูกกว่ามาก
2. คุณภาพสีดีกว่า
3. อัตราเฟรมเรตสูง เจอสถานะการหนักตกเยอะ
4. เริ่มมีผู้ผลิตการ์ดจอมาใช้ชิป Ati ด้วยเหตุต้นทุนถูกกว่า
5. เนื่องจากเฟรมเรตสูง ถ้ามีออฟชั้นเยอะ ๆ ทำให้ Ati อายุสั้นกว่า เพราะเดียวนี้เกมส์ตามฮาร์ดแวร์
6. ความร้อนน้อยกว่า Ati 55nm Nvidia 65nm แต่นั้นไม่ใช่ประเดนหลัก
8. การกินไฟพอ ๆ กัน
9. เรื่องของแถมพอ ๆ กัน
10. มี DirecX 10.1 5850 ทำ 11 ล่ะ แต่ไม่มี PhyX

Nvidia
1. เฟรมเรตของเกมไม่ค่อยตก ทำไห้เล่นเกมส์ได้นานกว่า
2. มี PhyX
3. ชอบย้อมแมวขาย ร่น 8800GT แปรงล่าง 9800GT รุ่น 9800GTX+ แปรงล่าง GTS250 เพิ่ม oc มานิด
4. คนรักค่ายนี้เยอะ
5. ราคาที่โหดมาก GTX295 ไป 19,000 แต่ 5870 ราคา 13,000 นี้เอาราคารุ่นทอปสองค่ายมาคิด ประสิทธิภาพไม่ต่างกันเท่าไหร
6. ค่ายนี้ทำการตลาดเก่ง เกมส์ส่วนมากร้อยล่ะ 90 nVidia
7. รูปทรงกล่อง ๆ แท่ง แต่ออกแบบได้สวยงาม ที่ชอบ 9800GTX+
8. ใช้ไฟอย่างไม่เกรงใจใคร อย่างว่าน่ะถ้าแรงตามมาด้วยค่าไฟ และร้อน

จำไม่ได้ว่าเคดิตของใครขอโดทษด้วยครับ
แต่เอามาจากเว็ฟ Overclockzone

การซ่อน Drive ระดับสูงเพื่อซ่อนข้อมูลที่ไม่ต้องการให้คนอื่นเห็น

หลายๆ ท่านอาจจะอยากซ่อนไฟล์ หรือ โฟล์เดอร์ที่เป็นความลับของเราไม่ไห้คนอื่นเห็น

เช่น การสั่ง Hidden File . . . หรือจะมีโปรแกรมพวก Hide folder
ที่จะให้ตั้งรหัสผ่านแล้วก็มีคีย์ลัดให้เราซ่อนหรือเลิกซ่อน

แต่ไม่ได้ใช้นานแล้วครับ ชื่อโปรแกรมน่าจะราวๆนี้หละ

แต่ถึงจะซ่อนได้เทพแค่ไหน แต่ถ้าคนเก่งคอมมาดูกดเข้าโฟลเดอร์ออฟชั่น

แล้วเขาเปิดฟังชั่น show hidden fileละก้อ

ซ่อนยังไงก็เจอครับ(มันจะเห็นโฟลเดอร์เหรอไฟล์ๆนั้นสีจางๆ)

วิธีซ่อนง่ายๆก็เข้าโฟลเดอร์นั้นเหรอไฟล์นั้นคลิกขวาเลือกอันสุดท้ายแล้วจะขึ้นกรอบมาให้ติ๊กเครื่องหมายถูกช่องhidden

วิธีซ่อนขั้นเตพเหรอ.......

ซ่อนทั้งไดฟ์ฮาดดิสไปเลยสิครับโชวไฟล์ซ่อนให่้ตายก็ไม่เจอ!! (แบ่งฮาดดิสเป็น2ไดฟ์แล้วซ่อนไดฟ์ที่2)

วิธีทำ

ไปที่start(ซ้ายล่างของจอคอม)>เลือกRUN แล้วพิมพ์ว่า regedit กด Enter จากนั้นให้คลิกเข้าไปที่

HKEY_CERRENT_USER\Software\Microsft\Windows\CurrentVersion\Policies\Explorer

คลิกขวาตรงพื้นที่ว่าง แล้วเลือกคำสั่ง New > DWORD Value พิมพ์ชื่อว่า NoDrives กด Enter

ดับเบิ่ลคลิก ที่ ชื่อ NoDrives ที่ช่อง Value data ให้ไส่ค่าตามตาราง นี้

ค่า 1 จะซ่อนไดรฟ์ A
ค่า 4 จะซ่อนไดรฟ์ C
ค่า 8 จะซ่อนไดรฟ์ D
ค่า 10 จะซ่อนไดรฟ์ E
ค่า 20 จะซ่อนไดรฟ์ F
ค่า 40 จะซ่อนไดรฟ์ G
ค่า 80 จะซ่อนไดรฟ์ H


เมื่อไส่ค่าเสร็จแล้วให้คลิก OK แล้วรีตาร์ตเครื่องใหม่

หลังจากนั้นให้เข้าไปดูที่หน้าต่าง My Computer จะเห็นว่าไดรฟ์ที่เราไส่ค่าไว้หายไป
และถึงไดรฟ์จะถูก ซ่อน แต่ก็ยัง เข้าใช้งานได้โดย

พิมพ์ ชื่อไดรฟ์ที่เราซ่อนไว้บน แอดเดสเสบาร์ แล้วกด Enter เท่านี้ก็เห็นไดรฟ์ที่เราซ่อนไว้แล้วแล้ว


เช่นซ่อนไดรฟ์ C ก็พิมพ์ C: ที่แอดเดสบาร์ กด Enter

รออะไรอยู่ละคร๊าฟพี่น้องคร๊าบ

หนังโป๊ที่เก็บไว้จะไม่มีใครมาแต๊บได้แล้ว....

วิธีตัดเสียงร้อง ด้วยโปรแกรม Windows Media Player

วิธีตัดเสียงร้อง ด้วยโปรแกรม Windows Media Player
สามารถ ร้องคาราโอเกะด้วยโปรแกรม Windows Media Player ได้ครับ วิธีการตัดเสียงร้องทำได้ โดยอันดับแรกให้ใส่แผ่นคาราโอเกะเข���าไปใน CD-ROM ก่อน หรือ โหลดเพลงให้เรียบร้อย จากนั้นก็ทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

1. เปิดโปรแกรม Windows Media Player จากนั้นเลือกคำสั่ง View > Enhancements > Graphic Equalizer

2. คลิกลากแถบ Balance ไปด้านซ้ายสุด

3. เมื่อเปิดคาราโอเกะ จะพมีแต่เสียงดนตรีไม่มีเสียงร้อง ปรับเสียงร้องนำคลอๆไปก็ได้ ตามใจชอบครับ หากต้องการให้มีเสียงร้อง ก็เข้าไปปรับส่วน Equalizer ให้อยู่ตรงกลางเท่านั้นเอง

ตามรูปครับ



เครดิต http://www.rattaphumcity.com/index.php?option=com_mamboboard&Itemid=270&func=view&id=2360&catid=15

วิธีโหลดไฟล์จากเว็บ mediafire.com โหลดแบบติดจรวด

วิธีโหลดไฟล์จากเว็บ mediafire.com โหลดแบบติดจรวด
มาดูกันว่าเขาทำกันอย่างไร
1.ติดตั้งโปรแกรม cFosSpeed >

* สำหรับ Key ของ cFosSpeed ถ้าขึ้นข้อความ key ผิด
ไม่ต้องตกใจครับ...ใช้ได้แล้ว ! crack สำเร็จ...

cFosSpeed เป็นโปรแกรมที่ช่วยในการรับส่งข้อมูลในการใช้เน็ตได้ดียิ่งขึ้น
เมื่อติดตั้ง cFosSpeed เสร็จแล้วจะปรากฏไอคอนที่ System tray ดังรูป

ตั้งค่าดังนี้
- คลิ๊กขวาที่ไอคอนของ cFosSpeed แล้วคลิ๊ก "ปิดการใช้งาน Traffic Shaping" ดังรูป

ซึ่งหากไม่ปิดการใช้งาน Traffic Shaping จะโหลดได้อืดมากๆ
แรกๆอาจจะเร็วแต่พอโหลดได้สักพักความเร็วจะตก โดยสังเกตุได้จาก Speed Bar ของ cFosSpeed
ให้ปิดการใช้งานทุกครั้งที่เปิดคอมฯ ขึ้นมานะครับ...ความเร็วในการโหลดจะได้ไม่ตก...


- คลิ๊กขวาที่ไอคอนของ cFosSpeed แล้วคลิ๊ก "ตั้งค่าหน้าต่าง" เลือก "กดผ่านทะลุ" ดังรูป

ปกติ Speed Bar ของ cFosSpeed จะสามารถ move ได้
ซึ่งบางครั้งเผลอไปคลิ๊กทำให้เสียอารมณ์ในการทำงานหรือเล่นเน็ต
ก็เลยตัดปัญหาให้มันอยู่นิ่งๆ อยู่กับที่ซะ...จะได้ไม่รมณ์เสีย...อิอิ

2.ติดตั้งโปรแกรม IDM (Internet Download manager)

หลังจากติดตั้งโปรแกรม IDM เสร็จ....เปิดโปรแกรม IDM ขึ้นมาครับ...
แล้วคลิ๊กที่ "ตัวเลือก" ดังรูป

คลิ๊กที่ "การเชื่อมต่อ" แล้วตั้งค่าดังรูป

คลิ๊กที่ "แผนงาน"

คลิ๊กที่แทป "Files in the queue" แล้วตั้งค่าเป็น 1

คลิ๊กที่แทป "ใช้งาน" แล้วคลิ๊กแทป "ปิด"

หลังจากนั้นก็เริ่มดาวน์โหลด

หากดาวน์โหลดไฟล์เดียว เมื่อขึ้นหน้าต่างดังภาพข้างล่างนี้ขึ้นมาแล้วรอประมาณ 10 วินาที ให้กด "เริ่มต้นโหลด"

หากดาวน์โหลดหลายๆไฟล์ เมื่อขึ้นหน้าต่างดังภาพข้างล่างนี้ขึ้นมาแล้วรอประมาณ 10 วินาที ให้กด "ดาวน์โหลดภายหลัง"
ทำอย่างนี้ทุกไฟล์นะครับจนครบ...อย่าลืมปิดป๊อปอัพที่ขึ้นมาด้วยนะครับ...

เมื่อกดดาวน์โหลดภายหลังครบทุก Part แล้ว
เปิด IDM ขึ้นมาแล้วคลิ๊ก "เริ่ม Queue"

หลังจากนั้น "จะไปไหนก็ไป..." โหลดทิ้งไว้ได้เลย !

http://board-it.freetzi.com/index.php/-windows/10-mediafire-download.html

จาก zone-it.com

Eee Pad "แท็บเล็ต"มัลติทัชจากอะซุส?

[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] รายงานข่าวจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ไต้หวัน DigiTimes ระบุว่า อะซุส (Asus) กำลังเตรียมที่จะเปิดตัว Eee pad แท็บเล็ตหน้าจอระบบสัมผัสแบบมัลติทัช แต่แทนที่จะใช้ซีพียู Atom จาก Intel ทางอะซุสกลับเลือกใช้ NVIDIA Tegra แทน ซึ่งทำให้เป็นที่น่าประหลาดใจกับการตัดสินใจดังกล่าว

เนื่องจากแพลตฟอร์ม Eee PC ของทางบริษัทจะผูกติดกับซีพียูของอินเทลมาเป็นระยะเวลากว่า 2 ปีแล้ว ซึ่งหลังจากที่มีข่าวแพร่สะพัดออกมา เว็บไซต์ NetbookNews ยังได้ออกมาระบุอีกด้วยว่า ได้มีโอกาสสัมผัสเจ้า Eee Pad แล้ว พร้อมทั้งยังบอกอีกด้วยว่า อุปกรณ์ดังกล่าวใช้แพลตฟอร์ม Tegra ของ NVIDIA ยิ่งตอกย้ำว่า ข่าวดังกล่าวไม่น่าจะเป็นแค่ข่าวลือ

คาด การณ์กันว่า Asus Eee Pad อาจจะใช้โพรเซสเซอร์ ARM ตัวที่เร็วที่สุด (Tegra 2) และมีหน้าจอขนาด 7 นิ้ว สามารถแสดงผลวิดีโอไฮเดฟฯ 720p หรืออาจจะถึงระดับ Full HD 1080p ก็ได้ โดยตัวอุปกรณ์จะทำงานด้วยระบบสัมผัสแบบมัลติทัช อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดสำหรับทางเลือกของแพลตฟอร์มที่ใช้ ดังนั้น ระบบปฏิบัติการที่ใช้กับ Eee Pad จึงอาจจะเป็น Android 2.1 หรือไม่ก็เป็น Cloud OS อย่าง Jolicloud หรือ Chrome OS ไปเลย ซึ่งเชื่อว่า ความชัดเจนของ Asus Eee Pad จะถูกเปิดเผยในงาน CES 2010 ที่จะจัดให้มีขึ้นระหว่างวันที่ 7 - 10 มกราคม ปีหน้า โดยหากมีความคืบหน้าอย่างไร ทางเว็บไซต์ arip จะรีบนำเสนอให้คุณผู้อ่านทุกท่านได้ทราบทันที

ข้อมูลจาก: nexus404

เขียนซีดีให้ได้ Over ถึง 850 MB

เขียนซีดีให้ได้ Over ถึง 850 MB

ปกติ แล้วแผ่นซีดี 1 แผ่นจะเก็บข้อมูลได้สูงสุดไม่เกิน 700 MB แต่วันนี้นายเกาเหลาจะขอสร้างปาฏิหาริย์ ด้วยการเขียนข้อมูลให้ได้ความจุถึง 850 MB บอกก่อนนะครับว่าไม่ได้โม้ แต่ทำได้จริง ก่อนอื่น CD-Writer ของคุณจะต้องรองรับเขียนแผ่นแบบ Overburn หรือเขียนแบบ Oversize ได้ ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว CD-Writer ในปัจจุบันก็สามารถใช้งานแบบนั้นได้อยู่แล้ว (นอกเสียจากว่า CD-Writer จะเป็นรุ่นเจ้าคุณทวด อันนี้ก็คงต้องบายทิปนี้ไป)

คราว นี้ให้เปิดโปรแกรม Nero Express ไปเมนู Configure แล้วไปที่ TAB General จากนั้นมาที่รายการ Status bar ในหัวข้อ Yellow marker ใส่ตัวเลข 80 ส่วนช่อง Red marker ใส่ตัวเลข 99 จากนั้นมาที่ TAB Expert Features ใส่เครื่องหมายถูกหน้าข้อความ Enable Overburn Disk- at- onc และในช่อง Maximum CD size ใส่เลข 99 ลงไปครับ ที่นี้เรามาลองเขียนแผ่นซีดีดู โดยตัวอย่างนี้ผมจะเลือกไฟล์ขนาด 850 MB มาลองเขียนลงไปบนแผ่นซีดีขนาด 700 MB อย่าลืมเลือกการเขียนแผ่นแบบ Disk-at-once จากนั้นก็ Burn แผ่นได้เลย

ระบบ จะแจ้งว่า Over Burn Writing ซึ่งก็ไม่ต้องตกใจอะไรเพราะนี่คือการเขียนเกินขอบเขตของระบบ ทำให้คอมพ์มันถามยืนยันว่าจะเขียนแน่เหรอ...เราก็ตอบไปว่าแน่นอน โดยกดที่ปุ่ม Write Overburn Disc แค่นี้ก็เสร็จแล้วครับท่าน

แน่ นอนว่าเมื่อมีดีมันก็ย่อมมีเสีย โดยข้อเสียของการทำ Overburn คือ มันอาจจะทำให้มีการกระตุก หากมีการใช้งานกับไดรฟ์ CD-Rom บางรุ่น (ที่อาจจะไม่รองรับการเขียน-อ่าน Overburn) หรือบางทีอาจจะอ่านไม่ได้เลยก็มีเพราะมันไม่สามารถเคลื่อนหัวอ่านไปถึง พื้นที่บางจุดบนแผ่น เช่น ขอบด้านนอกของแผ่น เป็นต้นครับ...แต่ถ้าจำเป็นต้องบันทึกข้อมูลใหญ่ๆ เช่นนี้จริงๆ นายเกาเหลาว่าข้อดียอมมีกว่าข้อเสียนะครับ

ทิปจาก : www.arip.co.th

ลบไฟล์ขยะ หลังจากเลิกเล่นเน็ต ช่วยลดปัญหาไวรัสได้

ลบไฟล์ขยะ หลังจากเลิกเล่นเน็ต ช่วยลดปัญหาไวรัสได้

เวลา เราเข้าเว็บไซต์ต่างๆ โปรแกรม IE ก็จะทำการ download ข้อมูลมาเก็บไว้ในเครื่องของเราก่อน จากนั้นถ้าเราเลิกเล่น ไฟล์เหล่านี้ก็จะค้างในเครื่องของเรา นอกจากปัญหาไฟล์ในเครื่องที่อาจจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้เนื้อที่ใน harddisk ของเราไม่เพียงพอแล้ว อาจมีไวรัสแอบแฝงเข้ามาในเครื่องคอมฯ ของเราได้ด้วย ดังนั้นวิธีการจัดการอย่างหนึ่งที่ง่ายก็คือ กำหนดให้โปรแกรม IE ลบไฟล์ขยะเหล่านี้อัตโนม้ติทุกครั้งที่ปิดโปรแกรม สำหรับขั้นตอนก็สั้นๆ ครับ เพียงทำตามรายละเอียดข้างล่างนี้
    วิธีกำหนดให้ลบไฟล์ขยะจากอินเตอร์เน็ตแบบอัตโนมัติ

  1. คลิกเมนู Tools
  2. เลือกคำสั่ง Internet Options
  3. คลิกเลือกแท็ป Advanced
  4. เลื่อนลงมาที่หัวข้อ Security
  5. จากนั้น คลิกหัวข้อ Empty Temporaly Internet Files Folder when browser is closed



  6. กดปุ่ม Apply อีกครั้งเพื่อยืนยัน
  7. แล้วนี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว

ข้อมูลเพิ่มเติม::
ส่วนดีของการที่โปรแกรม IE มีการ download ไฟล์มาเก็บไว้ในเครื่องของเรา ทำให้การใช้งานในครั้งต่อไป สามารถเปิดดูรายละเอียดในเว็บนั้นๆได้เร็วขึ้น เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาในการ download ซ้ำอีก อย่างไรก็ตาม ควรเปรียบเทียบผลดี ผลเสียกันเอาเองน่ะครับ แต่ถ้าให้ผมฟันธงเลย ขอตอบว่าลบไปเลยดีกว่าครับ..

ทิปจาก : www.it-guides.com

ส่งเมล์ภาษาไทยใน Outlook Express แล้วขึ้นสี่เหลี่ยมแทน

ส่งเมล์ภาษาไทยใน Outlook Express แล้วขึ้นสี่เหลี่ยมแทน

error "Message Character Set Conflict"

หลายๆ ครั้งที่มีการส่งเมล์ผ่านโปรแกรม Outlook Express แล้ว เกิดข้อความ "Message Character Set Conflict" จะมีหน้าต่างให้เลือกดังภาพประกอบด้านล่าง



ได้ทดลองเลือกทีละอย่าง ก็ปรากฏว่าผู้รับ รับได้แต่มีปัญหาอ่านภาษาไทยไม่ออก

วิธีแก้ไข ให้ทำดังนี้

  1. เมื่อเกิดหน้าต่างดังภาพประกอบด้านบน ให้คลิกเลือก Cancel ออกก่อน
  2. โปรแกรมจะกลับไปยังหน้าเมล์ ให้คลิกเลือกเมนู Format
  3. คลิกเลือก Endcoding
  4. คลิก Thai WIndows
  5. จากนั้นคลิกปุ่ม Send ปกติได้เลย จะไม่มีหน้าต่างแสดงให้ปรับเปลี่ยน Character Set
หลังจากแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแล้ว ให้กลับไป Set ที่โปรแกรม Outlook Express ดังนี้
  1. คลิกเลือกเมนู Tools
  2. เลือกคำสั่ง Options
  3. เลือกแท็ป Send
  4. เลือก International Settings
  5. Default encoding ให้คลิกเลือก Thai Windows

แค่นี้ก็เป็นอันเรียบร้อยแล้วครับ

ทิปจาก : www.it-guides.com

ยกเลิก System Restore Windows XP

System Restore เป็นความสามารถในการแก้ไขปัญหาของ Windows โดยเราสามารถทำการย้อนอดีตของการทำงานของ Windows ได้ ก่อนที่จะเกิดปัญหา อย่างไรก็ตาม System Restore ก็อาจทำให้เกิดปัญหาหลายๆ อย่างได้เช่น ทำให้เปลืองเนื้อที่ใน Harddisk และอาจเป็นที่เก็บไวรัสได้เช่นกัน การแก้ไขปัญหาไวรัสหลายๆ ตัว จำเป็นจะต้องยกเลิกคุณสมบัตินี้
    ขั้นตอนการยกเลิก System Restore
  1. คลิกขวาที่ My Computer
  2. คลิกเลือก Properties
  3. คลิกเลือกแท็ป System Restore
  4. คลิกเลือก Turn off System Restore on all drives



  5. คลิกปุ่ม OK เพื่อยืนยันอีกครั้ง
แค่นี้ เราก็จะมีพื้นที่ใน Harddisk เพิ่มขึ้น และแก้ไขปัญหาไวรัสได้ระดับหนึ่งด้วย เช่นกัน

ข้อมูลจาก bcoms.net

วิธีเสียบปลั๊ก Notebook‏ ที่ถูกต้อง

เรื่องนี้เป็นทิปสั้นๆ แต่..ทิปสั้นๆ นี้ ผมเชื่อว่ามีใครหลายยคนที่ไม่เคยรู้มาก่อน ประมาณว่า จริงเหรอ? ใช่เหรอ?

ในช่วงแรกๆ ที่ผมใช้โน้ตบุ๊กก็อาการเดียวกับหลายๆ ท่าน เวลาจะเสียบปลั๊กก็เสียบตัวอะแดปเตอร์เข้ากับตัวเครื่องก่อน (จริงๆ มันน่าจะถูกนะ) แล้วก็เอาปลั๊กอีกด้านไปเสียบกับเต้ารับของที่บ้าน หรือที่ทำงาน โดยหลักความเป็นจริงแล้ว มันจะควรจะทำแบบนี้ใช่มั้ย?

คิดว่าหลายคนคิดเหมือนผม ปัญหาที่ผมเจอเมื่อทำแบบนี้กับโน้ตบุ๊กแทบทุกรุ่นที่ ผ่านมา ก็คือมันมีไฟแลปออกมาจากตัวปลั๊ก เหมือนเกิดการสปาร์คขึ้น เสียบกี่ครั้งก็เกิดอาการแบบนี้ จนพาลคิดไปว่าพวกอะแดปเตอร์โน้ตบุ๊กมันไม่ค่อยดีมั้ง ผมก็หาวิธีแก้ไขบ้าง

เพื่อนหลายคนใช้วิธีเด็ดกว่านี้ครับ คือซื้อปลั๊กที่มีสวิทซ์เปิดปิดมาเลย วิธีการที่เขาทำก็คือ เสียบปลั๊กทุกๆ อย่างให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยเปิดสวิทซ์ที่ปลั๊ก เอ้ออ.. ไอเดียดีเนาะว่ามั้ย แต่จนแล้วจนรอด ผมเอ๊ะใจขึ้นมา เลยเปิดคู่มือโน้ตบุ๊กที่ผมเพิ่งได้มาใหม่ดู นั่งอ่านสักพัก ก็ถึง บ้างอ้อ จนได้ว่า สิ่งที่เราทำมานั้น ไม่ถูกต้องเลยครับ

มิน่า เสียบยี่ห้อไหน ก็ไฟแลบตะแลบแป๊บหมด.. พาลเอาใจหายว่าไฟจะช็อตได้

ต่อไปนี้ตั้งใจอ่านให้ดีดีนะครับ
ในคู่มือเขาบอกไว้ชัดเจนเลยครับว่า วิธีการเสียบปลั๊กอะแดปเตอร์ของโน้ตบุ๊ก ที่ถูกต้องก็คือ ให้เราเสียบปลั๊กเข้ากับเต้ารับที่บ้านหรือที่ทำงานก ่อนครับ จากนั้นค่อยเอาปลายอีกด้านที่เหลือมาเสียบเข้ากับโน้ ตบุ๊ก อันนี้คือวิธีที่ถูกต้อง

ผมเลยลองดูซะเลยครับ ปรากฏว่าอาการไฟแลบหรืออาการสปาร์คนั้นไม่มีเกิดขึ้น เลย โอ้! นี่แหละหนาาา..นิสัยไม่ชอบอ่านคู่มือ หลังจากนั้นมาผมก็พยายามแนะนำเพื่อนๆ ทุกคนที่เกิดอาการนี้ทั้งหมด ทุกรายแฮปปี้ดีแทคมากๆ ผมเชื่อว่าหลายคนยังไม่ทราบครับ ใครที่ทราบแล้วก็ฝากบอกต่อเพื่อนๆ ด้วยนะครับ จะได้เสียบปลั๊กอะแดปเตอร์ได้ถูกต้องเสียที ใครใช้โน้ตบุ๊กอยู่ตอนนี้จะลองทำดูก็ได้นะครับ

ขอเพิ่มเติมด้วยว่า ใช้วิธีเดียวกันนี้กับ ทั้งมือถือ และ PDA ด้วย

ข้อมูลจาก bcoms.net

วิธีตรวจสอบรหัสบัตรประชาชน

วิธีตรวจสอบรหัสบัตรประชาชน

เราจะมีวิธีตรวจสอบรหัสบัตรประชาชนอย่างไร...

คงเคยเห็นแบบฟอร์มในการสมัครสมาชิกของหลายๆ เว็บไซต์บังคับให้กรอกเลขที่บัตรประชาชน เช่น เว็บขายของ, เว็บประเภทเกมส์ออนไลน์, ฯลฯ ก็พลันคิดไปว่าต้องตรวจสอบโดยการติดต่อฐานข้อมูลของก ระทรวงมหาดไทยเลยเหรอนี้

อันที่จริงมันไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด ในการตรวจสอบเลขที่บัตรประชาชนนั้นทำได้โดยการใช้ Check Digit หรือการตรวจสอบความถูกต้องโดยใช้ตัวเลขหลักสุดท้ายใน การตรวจสอบ Algorithm ของวิธีการใช้ Check Digit มีดังนี้

1. ตัวเลขบนบัตรประชาชนจะมีทั้งหมด 13 หลัก นำเลขใน 12 หลักแรก มาคูณกับเลขประจำตำแหน่ง (เลขประจำหลักได้แก่ 13 บวก 1 ลบด้วยตำแหน่งที่)
จะได้ตัวเลขประจำตำแหน่งดังนี้

ตำแหน่งที่ เลขประจำตำแหน่ง การคำนวณ
1 13 13+1-1
2 12 13+1-2
3 11 13+1-3
4 10 13+1-4
5 9 13+1-5
6 8 13+1-6
7 7 13+1-7
8 6 13+1-8
9 5 13+1-9
10 4 13+1-10
11 3 13+1-11
12 2 13+1-12


** 13 ที่ใช้ในการคำนวณคือจำนวนตัวเลขทั้งหมดที่ต้องการตรว จสอบ

2. หลังจากนั้นเอาผลคูณของทั้ง 12 หลักมารวมกัน แล้ว modulation (การหารเอาเศษ) ด้วย 11

3. เอาเศษที่ได้จากการหารในข้อ 2 มาลบด้วย 11 เท่านี้ก็ได้เลขที่เป็น Check Digit แล้ว (ถ้าผลจากข้อ 2 ได้ 10 ให้เอาเลขหลักหน่วยเป็น Check Digit ก็คือ 0 นั้นเอง)

ตัวอย่าง 1-2345-67890-12-9
นำไปคูณเลขประจำตำแหน่ง (1*13)+(2*12)+(3*11)+(4*10)+(5*9)+(6*8)+(7*7)+(8*6 )+(9*5)+(0*4)+(1*3)+(2*2) = 352
modulation 11 .... 352%11= 0
นำ 11 ตั้งแล้วลบด้วย 0 11 - 0 = 11 เอาเลขหลักหน่วย ดังนั้น Check Digit คือ 1
อ้าว... นี้มันเลขที่บัตรประชาชนไม่ถูกต้องนี้ ที่ถูกต้องคือ 1-2345-67890-12-1

โดยหลักการคำนวนนี้ สามารถใช้กับเลข 10 หลักอย่างเลขที่บัญชีได้อีกด้วย


ตัวอย่าง 123-4-56789-6
นำไปคูณเลขประจำตำแหน่ง (1*10)+(2*9)+(3*8)+(4*7)+(5*6)+(6*5)+(7*4)+(8*3)+( 9*2) = 210
modulation 8 .... 210%8= 2
นำ 8 ตั้งแล้วลบด้วย 2.... 8 - 2 = 6 เอาเลขหลักหน่วย ดังนั้น Check Digit คือ 6
อ้าว... นี้มันเลขที่บัญชีที่ถูกต้อง

ข้อมูลจาก bcoms.net

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เปลี่ยชื่อ MSN จะได้จำง่ายๆ ไงครับ

สำหรับทิปนี้ เป็นทิปที่นำมาฝากสำหรับสาวก MSN....

สำหรับใครที่มีเพื่อนในลิสต์เยอะๆ แถมแต่ละคนก็ชอบเปลี่ยนชื่อแบบแปลกๆ ....ทำเอามึนงงไปเลยว่าใครเป็นใครหว่า
เรียกว่าแทบจะจำไม่ได้ว่าเป็นใครกันแน่ และเพื่อความแน่ใจเราก็ต้องตรวจสอบอีเมล์ว่าใช่ของคนนั้นคนนี้หรือเปล่า ?


..........ดังนั้น เรามาแก้ไขรายชื่อให้เป็นชื่อของตัวเขากันเลยดีกว่า โดยไม่ต้องรอให้เจ้าของรายชื่อเปลี่ยนเอง ทีนี้เมื่อไหร่ที่ใครออนไลน์มาเราก็จะรู้ได้ทันที


วิธีการก็คือ คลิ้กขวาที่รายชื่อแล้วเลือกเมนู Edit Nickname ชื่อเดิมจะกลายเป็นตัวอักษรสีน้ำเงิน ก็พิมพ์ชื่อใหม่เข้าไปได้ทันที เท่านี้เอ้ง.ง.ง. ง่ายมะ ?





ทิปจาก : หนังสือ COMPUTER.TODAY

ลืมรหัสผ่านของเวบไซต์ ทำงัยดี

เว็บไซต์ส่วนใหญ่จะให้บริการส่งอีเมล์แจ้งพาสส์เวิร์ดกลับไปให้ในกรณีที่คุณลืม ยังไงลองตรวจสอบในเซคชัน Help ดูนะครับ อย่างไรก็ตาม มีโปรแกรมเล็กๆ อยู่ 2 ตัวที่สามารถค้นหาพาสส์เวิร์ดที่ซ่อนอยู่ใต้เครื่องหมาย * (asterisk) ได้ดังนี้

Asterisk Key (http://www.lostpassword.com/asterisk.htm)
Revelation (http://www.snadboy.com/)
เชื่อว่า ทั้งสองโปรแกรมนี้น่าจะช่วยคุณได้นะครับ

วิชามาร ใน Google ครับ

***วิชามาร ใน Google ที่ให้ได้มาซึ่งทุกอย่าง ที่อยากดาวน์โหลด ในอินเตอร์เน็ต****

***คำแนะนำ คุณสามารถใช้วิธีนี้ ในการหาดาวน์โหลดโปรแกรม แคร็ก ซีดี คีย์ หรือต่างๆนานา ที่คุณอยากได้ แต่ผมขอแนะนำว่า คุณควรจะดาวน์โหลด มาเพื่อการทดลอง ทดสอบ หรือการศึกษาเท่านั้น

วิธีที่หนึ่ง
พิมพ์คำเหล่านี้ ใน Google Search
(1)
" parent directory " /spectralab 4.3213/ -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums
(2)
" parent directory " DVDRip -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums
(3)
" parent directory "Xvid -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums
(4)
" parent directory " Gamez -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums
(5)
" parent directory " MP3 -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums
(6)
" parent directory " Name of Singer or album -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums
หมายเหตุ ให้คุณเปลี่ยน คำที่ตามหลัง parent directory เช่น MP3 Gamez appz DVDRip เป็นสิ่งที่คุณอยากได้ แล้วก้อค้นหา คุณจะพบกับ ความมหัศจรรย์ใน Google

วิธีที่สอง
พิมพ์คำต่อไปนี้ใน Google

?intitle:index.of? mp3
จากนั้นแค่เพิ่มชื่อ เพลง อัลบั้ม นักร้อง ลงไป เช่น ?intitle:index.of? mp3 myfavoritesongs

วิธีที่สาม
พิมพ์คำต่อไปนี้ใน Google

inurl:micr0s0f filetype:iso

จากนั้น ก้อเปลี่ยน คำว่า micr0s0f กับคำว่า iso เป็นคำที่คุณต้องการ เช่น inurl:myc0mpany filetype:zip

------------------------------เพิ่มเติม-------------------------


1.Google จะใช้ and (และ) อยู่ในประโยคเสมอ เช่น ค้นหา harvest moon back to nature Google จะค้นหาแบบ harvest AND moon AND back... (พูดง่ายๆคือค้นหาแบบแยกคำ)

2. การใช้ OR (หรือ) คือการให้ Google หาข้อมูลมากขึ้นจาก คำA และ คำB (พูดง่ายๆ คือนำผลที่ได้ มารวมกันรวมกัน) วิธีใช้ พิมพ์ OR ด้วยตัวใหญ่ระหว่างคำที่ต้องการ เช่น vacation london OR paris คือหาทั้งใน London และ Paris

3. Google จะละคำทั่วๆไป (เช่น the, to, of) และตัวอักษรเดี่ยว เพราะจะทำให้ค้นหาช้าลง แต่ถ้าคำพวกนั้นสามารถช่วยให้หาข้อมูลง่ายขึ้น ก็ต้องใช้เครื่องหมาย + ช่วยโดยนำไปอยู่หน้าคำนั้น (ต้องเว้นวรรคก่อนด้วย) เช่น back +to nature หรือ final fantasy +x

4. Google สามารถกันขอบเขตการค้นหาให้เล็กลงด้วยการใช้ Advanced Search หรือ การค้นหา แบบพิเศษ ใน Google ภาษาไทย

5. Google สามารถตัดคำพ้องรูปได้โดยใช้เครื่องหมาย - ช่วยโดยการนำไปอยู่คำที่จะตัด เช่น คำว่า bass มี 2 ความหมายคือ เกี่ยวกับปลา และดนตรีเราจะตัดที่มีความหมายเกี่ยวกับดนตรีออกโดยพิมพ์ bass -music หมายความว่า bass ที่ไม่มีคำว่า music นอกจากนี้มันยังสามารถตัดอย่างอื่นได้อีก เช่น "front mission 3" -filetype pdf หมายความว่า เรื่องเกี่ยวกับ front mission 3 แต่ไม่แสดงไฟล์ PDF

6. การค้นหาแบบทั้งวลี (คือการค้นหาทั้งกลุ่มคำ) ให้ใช้เครื่องหมาย " " เช่น "Breath of fire IV"

7. Google สามารถแปลเว็บภาษา Italian, French, Spanish, German, และ Portuguese เป็น ภาษาอังกฤษได้ (โดยคลิ้กที่คำว่า "Translate this page" ด้านข้างชื่อเว็บ)

8. Google สามารถหาไฟล์ในรูปแบบอื่นๆที่ไม่ใช่ HTML ได้ ประเภทไฟล์ที่รองรับคือ

Adobe Portable Document Format (นามสกุลของไฟล์ pdf)
Adobe PostScript (นามสกุลของไฟล์ ps)
Lotus 1-2-3 (นามสกุลของไฟล์ wk1, wk2, wk3, wk4, wk5, wki, wks, wku)
Lotus WordPro (นามสกุลของไฟล์ lwp)
MacWrite (นามสกุลของไฟล์ mw)
Microsoft Excel (นามสกุลของไฟล์ xls)
Microsoft PowerPoint (นามสกุลของไฟล์ ppt)
Microsoft Word (นามสกุลของไฟล์ doc)
Microsoft Works (นามสกุลของไฟล์ wks, wps, wdb)
Microsoft Write (นามสกุลของไฟล์ wri)
Rich Text Format (นามสกุลของไฟล์ rtf)
Text (นามสกุลของไฟล์ ans หรือ txt)

วิธีใช้ filetype:นามสกุลของไฟล์ เช่น "Chrono Cross" filetype df หมายความว่าเอกสารของ Chrono Cross ที่เป็น PDF และมันยังมีความสามารถดูไฟล์เหล่านั้นในรูปแบบของ HTML ได้ (โดยคลิ้ก View as HTML หรือ รูปแบบ HTML ใน Google ไทย)

9. Google สามารถเก็บ Cached ของเว็บที่จะเข้าชมไว้ได้ (โดยคลิ้กที่ Cached หรือ ถูกเก็บไว้ ใน Google ภาษาไทย) ประโยชน์ของมันคือช่วยให้เราสามารถเข้าเว็บบางเว็บที่อาจโดนลบไปแล้ว โดยข้อมูลที่ได้เป็นข้อมูลก่อนถูกลบ (ใหม่สุดที่มันจะมีได้)

10.Google สามารถค้นหาหน้าที่คล้ายกัน (โดยคลิ้ก Similar pages หรือ หน้าที่คล้ายกัน ใน Google ภาษาไทย) โดยจะค้นหาข้อมูลที่คล้ายๆ กันให้เรา เช่น ถ้าเรากำลังหาข้อมูลการวิจัย ความสามารถนี้จะช่วยให้หาข้อมูลได้มากมายในเวลาที่รวดเร็วโดยไม่ต้องเป็นห่วงเรื่อง keyword

11.Google สามารถค้นหา link ทั้งหมดที่เชื่อมไปยังเว็บนั้นได้ วิธีใช้ link:ชื่อ URL เช่น link:www.google.com แต่คุณไม่สามารถใช้ความสามารถนี้ร่วมกับการหาแบบอื่นๆ ได้

12.Google สามารถค้นหาเว็บที่จำเพาะเจาะจงได้ โดยพิมพ์ คำที่คุณต้องการเจาะจง site:ชื่อ URL เช่น ถ้าคุณต้องการหาเว็บเกี่ยวกับการเข้า (admission) มหาวิทยาลัย Stanford ให้พิมพ์ admission site:www.stanford.edu

13.ถ้าคุณมีเวลาน้อย (และคิดว่าโชคดี) Google มีบริการการค้นหาด่วน (ชื่อบริการ I'm Feeling Lucky) โดยที่ Google จะนำเว็บที่อยู่ลำดับแรกของการค้นหา ส่งให้คุณเลย (link ไปเว็บนั้นให้เสร็จ) เช่น คุณต้องการค้นหาเว็บมหาวิทยาลัย Stanford อย่างด่วนให้พิมพ์ Stanford แล้วกด I'm Feeling Lucky หรือ ใช่เลย! เจอแน่ๆ ใน Google ไทย

14.Google สามารถหาแผนที่ของสหรัฐอเมริกาได้โดยพิมพ์ ที่อยู่ ชื่อถนน พร้อมด้วยชื่อรัฐ เช่น 165 University Ave Palo Alto CA Google จะจัดการส่งแผนที่คุณภาพสูงมาให้คุณ

15.Google สามารถหาเบอร์โทร (เฉพาะอเมริกา) หรือพิมพ์เบอร์โทรแล้วหาบริษัทได้โดยพิมพ์
first name (or first initial), last name, city (state is optional)
first name (or first initial), last name, state
first name (or first initial), last name, area code
first name (or first initial), last name, zip code
phone number, including area code
last name, city, state
last name, zip code
แล้วแต่ว่าคุณจะใช้แบบไหน

16.Google สามารถค้นหา Catalog สินค้าได้ (เข้าไปที่ http://catalogs.google.com)

17.Google สามารถเก็บข้อมูลลักษณะการใช้ที่คุณต้องการได้โดยเข้าไปที่ Preferences หรือ ตัวเลือก ใน Google ไทย

****************************************************
ที่มา http://ww.bbznet.com/scripts/view.php?user=tuanzero&board=1&id=14&c=1&order=numtopic

เพิ่มความเร็ว Internet ต้องแบบนี้ครับ

วิธีที่ทุกท่านจะสามารถเพิ่มความเร็วอินเตอร์เน็ตได้อีก 20% จากเดิม
เป็นวิธีการง่ายๆที่ไครๆก็ทำได้ โดยไม่มีผลเสียต่อคอมฯ

1. ไปที่ start >> run

2. จากนั้นพิมพ์คำว่า gpedit.msc

3. ดับเบิลคลิกที่ computer configuration >> administrative Templates >> Network >> Qos packet Scheduler

4. จากนั้นก็ดับเบิลคลิกที่ Limit reservable bandwidth

5. กดที่ Enabled แล้ว แก้ตัวเลขจาก 20 เป็น 0

เพียงเท่านี้เครื่องของท่านก็จะสามารถเล่นอินเตอร์เน็ตได้เร็วขึ้นกว่าเดิม 20%

วิธีแก้เครื่อง shutdown นานมากๆๆ

สำหรับคุณๆ ทั้งหลายที่หงุดหงิดกับปัญหา การ Shout down แล้วไม่ค่อยดับ
ลองทำตามวิธีนี้ดูน่ะครับ ไปที่ Start > Run >แล้วพิมพ์ regedit
แล้วแก้ registry

HKEY_LOCAL_MACHINE\System\CurrentControlSet\Control
ตรงด้านขวามือเลือกที่ WaitToKillServiceTimeout เดิม 20000 แก้เหลือ 1
HKEY_CURRENT_USER\Control Panel\Desktop ตรงขวามือให้แก้ตามนี้
"AutoEndTasks"="1"
"HungAppTimeout"="1"
"MenuShowDelay"="100" (เพิ่มความเร็ว Start Menu)
"WaitToKillAppTimeout"="1"
ปิด Regedit จากนั้นรีสตาร์ท จะเห็นผลโดยทันที

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ATA & SATA คืออะไร

1. ATA นั้นมีความเร็วสูงสุดในการส่งถ่ายข้อมูลที่ 133 Mbps เท่านั้น (MagaBit per Second) เป็นการส่งถ่ายข้อมูลแบบขนาน
2. SATA นั้นปัจจุบันที่ออกมาสู่ตลาด มีความเร็วเริ่มต้นที่ 150 Mbps หรือจะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า SATA 1X อีกไม่นานความเร็วจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

ATA ถูกพัฒนาโดย Maxtor ซึ่งเหมือนกับว่าถูกทำออกมาเพื่อให้ใช้ไปก่อน โดยรอ SATA ซึ่งถือว่าเป็นของจริงออกมา โดยเป็นทีมพัฒนาเดียวกัน


ATA เป็นการรับส่งข้อมูลแบบขนาน ทีละ 40 เส้น ส่วน SATA จะเป็นการสงข้อมูลแบบอนุกรม อธิบายให้เห็นง่ายๆ คือ เมื่อคุณขับรถอยู่บน 8 เลน ซึ่งวิ่งไปข้างหน้าพร้อมกัน และเผอิญทางข้างหน้าเป็นถนนเลนเดียว (เพื่อประมาลผล) รถทุกคันต้องชะลอ และเรียงแถวออกทีละคัน นี้คือ ATA ฉะนั้นยิ่งมีรถมากก็ยิ่งช้า(ความถี่) แต่ถ้าคุณอยู่บนถนนเลนเดียว ไม่ว่ารถบนถนนเดียวกับคุณจะมีมากแค่ไหนก็ไม่ต้องชะลอ นี้คือ SATA สมมุติว่าความเร็วของรถอยู่ที่ 90 km/h ทุกคัน คุณคิดว่า 8 เลนที่ต้องเปลี่ยนเป็น 1 เลน(ATA) กับ 1 เลน (SATA) ตัวไหนจะเร็วกว่ากัน

ข้อมูลต่อไปนี้ไม่แหมาะแก่ผู้ที่ยังศึกษามาน้อย)
การส่งข้อมูลแบบอดีต ตัวอย่าง Only

0------------>
0------------>
0------------>
0------------>
1------------>
0------------>
1------------>
1------------>

แล้วนำข้อมูลในแต่ ละสายสัญญาณ มารวมกันเป็น (0 0 0 0 1 0 1 1 )นี้เป็นการส่งข้อมูลในระบบแบบเก่า จนถึงปัจจุบันที่เป็นแบบ
IDE and EIDE โดยใช้สายนำสัญญาณ แบบ 40 เส้นและ 80 เส้น

ตัวอย่างที่สอง ออกแบบใหม่
ฮาร์ดดิสก์แบบ SATA U150 นับเป็นการเริ่มต้นที่เร็วไม่แพ้ระบบ
แบบ SCSI เลยนะครับ

ตัวอย่างที่สอง เป็นตัวอย่าง Only

0 0 0 0 1 0 1 1 ------>
0 0 0 0 1 0 1 1 ------>

โดยใช้สายสัญญาณ 7 เส้น การออกแบบสามารถทำให้ระบบนี้
สามารถที่จะเพิ่มความเร็วในการส่งข้อมูลได้มาก จาก U150 เป็น
300 หรือ มากกว่า (ในอนาคตอันใกล้นี้)

ดังนั้นสรุปได้เลยครับว่า คุณ SATA นี้มีคุณสมบัติพร้อมที่จะใช้
ในระบบ PC และ ระบบ Server ของ เครื่อข่ายเล็ก ๆ ที่มีงบประ
มาณไม่มาก และเป็นระบบสถาปัตยกรรมแบบใหม่ ที่เมื่อคุณได้
ลองสัมผัสดูแล้วจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
เพราะการเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ในแต่ละครั้งทำให้คุณรู้สึกได้ว่า
คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป ผมในนามของผู้ใช้ และเป็นสาวกของ
ฮาร์ดดิสก์ ขอขอบคุณบริษัทผู้ผลิต และนักออกแบบทุกท่าน
ที่ทำให้เครื่อง PC ก้าวเข้ามาสู่ ระบบที่เครื่อง แม่ในอดีตต้องอาย
และเป็นระบบที่เร็วแต่ราคาย่อมเยา

สุดท้ายการเลือกซื้อ ฮาร์ดดิสก์ ในปัจจุบันดังนี้

1.การรับประกัน 3 ปี ขึ้นไป
2.ความเร็วควรเป็น 7200 RPM ขึ้นไป
3.มี Cache (แค็ซ) อย่างน้อย 4 MB แนะนำ ควรเป็น 8 MB
4.ควรเป็นแบบ SATA U150 เป็นต้น

ทั้งนี้ผู้ซื้อต้องพิจารณาดูว่า เครื่องของคุณสนับสนุนหรือไม่
เพราะหากไม่สนับสนุน ความเร็วที่ U150 ก็อาจไม่เต็มประสิทธิ
ภาพ ด้วย ความเร็วของ PCI BUS ยังเร็วไม่พอ

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กู้ Windows XP แบบไม่ต้องลงใหม่

ถ้าวินโดวส์มีป้ญหาไม่สามารถบู๊ตขึ้นภาพ Windows XP คุณๆจะมีวิธีของตนเอง เช่น เอาไฟล์ที่ ghost ไว้มาใช้ แต่ก็ปัญหาคือ ไฟล์ที่ได้ไม่ใช่ข้อมูลปัจุบัน หรือ format ลงวินโดวส์ใหม่ชึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยต้องลงโปรแกร มใหม่เป็นสิบตัว ยังต้องเสียเวลา Crack อีก ข้อมูลที่คุณทำไว้ก็หายหมด ผมมีวิธีการกู้แบบง่ายๆ ไปหาวิธีแบบยาก แล้วแต่เหตุการณ์ และสาเหตุ ซึ่งจะมีเทคนิคดังนี้

เทคนิคที่ 1 กู้แบบง่ายๆ

-สาเหตุ : ปกติคุณๆ มักชอบติดตั้งโปรแกรมใหม่ๆ เพิ่มเติม ผลปรากฎว่าเมื่อติดตั้งแล้วพอบู๊ตใหม่กลับบู๊ตไม่ขึ้ น สาเหตูอาจมาจากโปรแกรมที่ติดใหม่ ติดตั้งไฟล์ระบบตัวเก่าทับตัวใหม่ ทำให้วินโดวส์ไม่รู้จักไฟล์ระบบ เลยทำให้เกิดหน้าจอดำค้างไม่บู๊ตเข้าหน้าจอเดสก์ทอป

-วิธีแก้ไข : อาจจะใช้วิธี System Restore ใน Safe Mode โดยกดปุ่ม F8 ค้างไว้ ขณะบู๊ตเครื่องใหม่ แล้วเลือกไปที่หัวข้อ Safet Mode กู้วันที่ย้อนหลังครั้งล่าสุดที่ไม่ได้ติดตั้งโปรแกร ม หรือจะให้สะดวกกว่านี้ก็ให้เลือกหัวข้อ "Last Know Good Configuration" ก็จะกู้ระบบครั้งล่าสุดให้ทันที ทำให้บู๊ตเข้าวินโดว์ส ได้ตามเดิม

เทคนิคที่ 2 ก๊อปปี้ไฟล์ระบบ 3 ตัวทับไฟล์ระบบเดิม

-สาเหตุ :ถ้าวินโดวส์ไม่บู๊ตหรือรันหน้าต่าง Start up...Windows XP เลย อาจเป็นที่ไฟล์ Boot Sector ของไฟล์ระบบเสีย หรือมีปัญหาขัดแย้งกับไฟล์ ntldr หรือ ntdetect.com ทำให้บู๊ตไม่ขึ้นภาพ

-วิธีแก้ไข :ให้ก๊อปปี้ไฟล์ระบบจากเครื่องอื่นที่ลง Windows XP เหมือนกันหรือคุณจะก๊อปปี้ไฟล์ระบบที่เครื่องคุณเอาไ ว้ก่อนที่เครื่องจะมีปัญหาก็ได้ ด้วยใช้คำสั่ง xcopy ผ่านโหมด command line โดยทำตามขั้นตอนดังนี้

1. ก๊อปปี้ 3 ไฟล์ข้างนี้ โดยใส่แผ่นเปล่า (1.44MB)ลงในไดรว์ a:
xcopy c:\boot.ini a:/h
xcopy c:\ntdetect.com a:/h
xcopy c:\ntldr a:/h

เมื่อก๊อปปี้เสร็จเอาเก็บไว้ใช้ในขั้นตอนต่อไป

2.บู๊ตเครื่องใหม่ แล้วกดปุ่ม F8 ค้างไว้ เพื่อไปหน้าจอ Safe Mode

3.เอาแผ่นดิสก์ที่ทำไว้แล้วตามข้อ 1 ใส่ไปที่เครื่อง ออกไปที่ DOS Prompt แล้วพิมพ์คำสั่งก๊อปปี้ไฟล์ตามข้างล่างนี้
xcopy a:*.* c:\/h



4.กดปุ่ม enter ตามหลังคำสั่ง

5. บู๊ตเครื่องใหม่อีกครั้ง ก็จะสามารถเข้าหน้าเดสก์ทอปของวินโดวส์ได้ตามเดิม

เทคนิคที่ 3 ซ่อมวินโดวส์ ด้วยแผ่นบู๊ต Boot CD Rom

-สาเหตุ : ปัญหานี้ส่วนใหญ่ สืบเนื่องจากการติดตั้ง Patch file ตัวใหม่ๆ แล้วไม่สามารถรองรับไฟล์ระบบของวินโดวส์หรือก็อปปี๊ไ ฟล์ .dll, .vdx, .inf ผิดเวอร์ชั่น หรือเผลอลบไฟล์ระบบบางตัว ก็เป็นสาเหตุได้ ฉะนั้นหากแก้ด้วยวิธีที 1,2 ไม่หาย ก็ต้องใช้วิธีที่ 3 ซ่อมแซมไฟล์ระบบใหม่ แทนที่จะเสียเวลาติดตั้งใหม่ วิธีนี้ก็จะช่วยย่นเวลาให้น้อยลง

-วิธีแก้ไข : เตรียมแผ่นบู๊ต CD Windows (แผ่นติดตั้งวินโดวส์) ใส่ใน CD-ROM แล้วบู๊ตเครื่องใหม่ จากนั้นทำตามขั้นตอนต่อไปนี้




1.เมื่อเข้าหน้าจอ Windows to Setup หน้าแรก ให้คุณกด Enter ผ่านขั้นตอนนี้ไป


2.จากนั้นก็จะเข้าหน้าจอ windows XP Lincesing Agreement หน้าที่สอง กดปุ่ม F8 เพื่อยอมรับการติดตั้งใหม่


3.เมื่อเข้าหน้าจอการติดตั้ง Windows XP Pro..Setup เลือกไดรฟ์ที่ติดตั้ง แล้วกดตัว R เพื่อซ่อมแซ่มไฟล์ที่สูญหายให้กลับคืนมาดังเดิม เมือเสร็จสิ้นการติดตั้งโปรแกรมต่างๆที่ติดตั้งไปก็ย ังคงใช้ได้เหมือนเดิมไม่ต้องติดตั้งใหม่ให้เสียเวลา

ปล. สำหรับผู้ที่ใช้ Harddisk แบบ SATA ในตอนบู๊ตแผ่นติดตั้ง Windows ให้กด F6 เพื่อติดตั้งไดรว์เวอร์ SATA ก่อนเข้าขั้นตอนที่ 1 ด้วยนะครับ ไม่เช่นนั้นวินโดวส์จะมองไม่เห็น Harddisk

เครดิตจาก bcoms.net

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ต้องการบล็อก pop up ที่มากับเวบไซต์ทำได้ง่ายๆ ที่นี่ที่เดียว







นาฬิกาในคอมพิวเตอร์ไม่ตรง แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ





สร้างพื้นหลังให้กับ thumb drive

เป็นวิธิการนำภาพสวยๆ ที่เราต้องการให้แสดงที่เป็นภาพหลังใน thumb drive (handy drive) น่ะครับ

หรือไว้ใน drive ไหนก้อได้ ไม่ว่าจะเป็น C: D: หรือ document

สำหรับวิธีการทำก้อง่ายๆ ครับ
1 . ให้คัดลอก (copy) โค้ดด้านล่าง แล้วไปใส่ใน notepad

2. ในส่วนของ IconArea_Image= *****.jpg ตรง ดอกจัน (*****) ให้ใส่ชื่อไฟล์
เช่น bmw audi honda
3. save ไฟล์ ชื่อ desktop.ini
4. สุดท้ายก้อ เอาไฟล์ desktop.ini และรูปที่เราใส่ไว้ที่ตำแหน่งของดอกจัน (ย้ำน่ะครับ ต้องเอาทั้งสองตัวนี้ไปไว้ในที่เดียวกัน)
เช่น handy drive , drive C , drive D etc.

นี่คือโค้ดที่ว่าน่ะครับ

[ExtShellFolderViews]
{BE098140-A513-11D0-A3A4-00C04FD706EC}={BE098140-A513-11D0-A3A4-00C04FD706EC}

[{BE098140-A513-11D0-A3A4-00C04FD706EC}]
Attributes=2
IconArea_Image= *****.jpg
[.ShellClassInfo]
ConfirmFileOp=4

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การแก้ไขชื่อไฟล์ / โฟลเดอร์








การเก็บกวาดขยะบนฮาร์ดดิสก์ด้วยคั่ง Disk Cleanup











การค้นหารูปภาพด้วย Yahoo!


หลายท่านอาจจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ใช้บริการของเว็บไซต์ Yahoo! โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Yahoo Mail ซึ่งนอกจาก Yahoo จะให้บริการด้านอีเมล์แก่ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกแล้ว Yahoo! ยังมีบริการอื่นๆ อีกมากมาย อาทิเช่น Yahoo Messenger, Weather Report และที่สำคัญคือ Yahoo นั้นจริงๆ แล้วได้ทำหน้าที่เป็นเครื่องช่วยค้นหา หรือ Search Engine ที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายมาช้านาน --- เกร็ดความรู้จากคุณครูตอนที่ 54 นี้ ขอเสนอวิธีการค้นหารูปภาพสวยๆ ด้วย Yahoo! (http://www.yahoo.com) --- นักสะสมภาพสวยๆ ไม่ควรพลาด















เครดิต happyoppy.com